ตามรอยแรกสร้างพระนคร ตามหาศูนย์กลางจักรวาล สะดือเมือง กรุงเทพฯ
- ย่านเสาชิงช้าเป็นพื้นทีที่เรียกว่าสะดือเมืองหรือศูนย์กลางของพระนครเมื่อมีการวางผังเมืองและสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีแห่งใหม่
- ย่านเสาชิงช้ายังเป็นศูนย์รวมศาสนสถานสำคัญคือวัดสุทัศนเทพวรารามซึ่งเปรียบเสมือนแกนกลางของจักรวาล และเทวสถานโบสถ์พราหมณ์เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์
เสาชิงช้า นอกจากจะเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของ กรุงเทพฯ แล้วยังเป็นพื้นทีที่เรียกว่า สะดือเมือง หรือศูนย์กลางของพระนครเมื่อมีการวางผังเมืองและสถาปนา กรุงเทพฯ เป็นราชธานีแห่งใหม่
อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมศาสนสถานสำคัญอันประกอบไปด้วยวัดสุทัศนเทพวรารามซึ่งเป็นคติการสร้างวัดคู่บ้านเมืองกลางพระนครและเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุที่เป็นแกนกลางของจักรวาล และเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ที่นิยมสร้างเทวาลัยในใจกลางเมืองตามอย่างโบราณราชประเพณีเพื่อประกอบพิธีกรรมของพราหมณ์ราชสำนัก
Sarakadee Lite ชวนตามรอย Walking Tour ศูนย์กลางจักรวาลที่ใจกลางกรุงเทพฯ นำโดย รศ. ดร. ประภัสสร์ ชูวิเชียร อาจารย์คณะโบราณคดี ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมของเทศกาล Colorful Bangkok 2024 เมื่อปลายเดือนมกราคม 2567 ที่จะพาย้อนรอยประวัติศาสตร์เมื่อแรกสร้างกรุงเทพมหานครใน พ.ศ. 2325 โดยมีการวางรูปแบบผังเมืองตามแบบสมัยกรุงศรีอยุธยาที่สะท้อนผ่านสถาปัตยกรรมสำคัญอันแสดงถึงความเป็นศูนย์กลางและจุดกำเนิดของจักรวาลเมืองกรุงเทพฯ
วัดสุทัศนเทพวราราม
ปีที่สร้าง : พ.ศ. 2350
คติการสร้าง : เขาพระสุเมรุแกนกลางของจักรวาลและที่ประทับของพระอินทร์
สัญลักษณ์สำคัญ : แผนผังอาคารรูปสัญลักษณ์จักรวาล
หากจะย้อนรอยถึงประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมอันสำคัญของ กรุงเทพฯ หนึ่งในสถานที่ที่หลายคนมักจะนึกถึงคือ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกที่รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 2350 ถึง พ.ศ. 2352 เพื่อเป็นหอพระพุทธรูปใจกลางเมืองและได้มีการอัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากเมืองสุโขทัยมาประดิษฐานในพระวิหารหลวงจนกลายเป็นที่รู้จักกันในนามว่า วัดพระโต เมื่อแรกสร้าง
“วัดแห่งนี้มีจุดประสงค์ที่ต้องการแสดงสัญลักษณ์ถึงความเป็นศูนย์กลางของจักรวาลของกรุงเทพฯ” รศ. ดร. ประภัสสร์กล่าวถึงคติการสร้างรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณที่ประดับอยู่บริเวณหน้าบันของพระวิหารหลวงและเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าพระวิหารหลวงเป็นสุทัศนนครหรือนครหลวงของพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนกลายเป็นที่มาของชื่อ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
เอกลักษณ์โดดเด่นของวัดสุทัศน์ที่หลายคนอาจมองข้ามคือการวางแผนผังวัดที่มีความเป็นระเบียบและสมมาตร จนได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในวัดที่มีภูมิทัศน์ (landscape) และตัวอาคารมีความสง่างาม การวางแผนผังในรูปแบบอาคารสัญลักษณ์จักรวาลที่ออกแบบขึ้นใหม่เป็นครั้งแรกโดยช่างสมัยรัชกาลที่ 3 ถือว่าเป็น แผนผังรูปแบบใหม่ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมไทย อาคารภายในวัดประกอบด้วยพระวิหารหลวงเป็นอาคารประธาน ภายนอกล้อมรอบด้วยเจดีย์ตามแบบของจีนและระเบียงคด ทางทิศใต้ของพระวิหารเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถ และถัดไปเป็นศาลาการเปรียญ เขตสังฆาวาส และหมู่กุฏิเรียงกัน
การวางแผนผังในลักษณะนี้เป็นการใช้คติการสร้างที่ต้องการให้สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางของพระนครเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล อีกทั้งยังมีการสืบทอดจากศิลปะสถาปัตยกรรมในสมัยอยุธยาด้วยเช่นกัน
เทวสถานโบสถ์พราหมณ์
ปีที่สร้าง : พ.ศ. 2327
คติการสร้าง : เทวสถานใจกลางพระนครเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์
สัญลักษณ์สำคัญ : พระพิฆเณศวรผู้เป็นเทพแห่งอุปสรรค
“เทวสถานโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้มาพร้อมกับการตั้งกรุงเทพมหานครในระยะแรก” รศ. ดร. ประภัสสร์ได้กล่าวถึงเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2327 หลังจากการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ หรือ กรุงเทพฯ ได้ 2 ปี เพื่อใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ เช่น พิธีโล้ชิงช้าหรือพิธีตรียัมปวาย และได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบแผนผังให้คล้ายกับวัดของไทย จึงนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมของประเทศไทย
ความแตกต่างของเทวสถานแห่งนี้กับที่อื่นๆ คือการจัดตั้งโบสถ์สำหรับเทพ เพราะเทวสถานส่วนใหญ่มักจะประดิษฐานองค์พระตรีมูรติ แต่ในเทวสถานโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้มีการจัดตั้งเทวสถานพระพิฆเณศวรไว้เป็นองค์ประธานของหมู่เทพ พระพิฆเณศวรเป็นเทพแห่งอุปสรรคซึ่งผู้ศรัทธาจะไหว้ขอพรให้พ้นจากอุปสรรคต่างๆ และประเทศไทยได้นำแนวคิดเหล่านี้มาปรับใช้ในการประกอบพิธีคล้องช้างเพื่อทำสงครามตั้งแต่อดีตและสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีเทวสถานพระอิศวรและเทวสถานพระนารายณ์ อีกทั้งภายหลังได้มีการสร้างเทวาลัยที่ประดิษฐานเทวรูปพระพรหมตรงบริเวณทางเข้าเทวสถานและให้ผู้คนได้มาร่วมสักการบูชาองค์เทพทั้งสี่ หากใครอยากจะขอพรให้พ้นภัยจากอุปสรรคต่างๆ อยากสมหวังเรื่องความรัก หรือเพิ่มความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต สามารถเข้ามาร่วมสักการบูชาองค์เทพได้ที่เทวสถานแห่งนี้
เสาชิงช้า
ปีที่สร้าง: พ.ศ. 2327
คติการสร้าง : ใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้าและแสดงถึงความมั่นคงแข็งแรงของพระนคร
สัญลักษณ์สำคัญ : ประตูเกี้ยวยอดมีลักษณะคล้ายกับประตูเมืองพระนครในจิตรกรรมฝาผนังของวัดพระแก้ว
เสาไม้สีแดงขนาดใหญ่หรือที่หลายคนคุ้นตาและรู้จักกันในชื่อว่า “เสาชิงช้า” เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสัมพันธ์กับโบสถ์พราหมณ์และสร้างขึ้นในปีเดียวกันคือปี 2327 เพื่อใช้ประกอบการโล้ชิงช้าสำหรับพิธีตรียัมปวายซึ่งเป็นพิธีรับเทพเจ้าหรือการอัญเชิญเทพทั้งสามองค์ คือ พระศิวะ พระพิฆเณศ และพระนารายณ์ตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ที่กล่าวว่าองค์พระศิวะจะเสด็จจากสวรรค์มายังโลกมนุษย์ปีละหนึ่งครั้งซึ่งถือเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ของศาสนาพราหมณ์
รศ. ดร. ประภัสสร์ได้กล่าวว่าบริเวณเสาชิงช้านั้นเคยเป็นตลาดใจกลางเมือง หรือที่เรียกกันว่าตลาดเสาชิงช้า และเป็นบริเวณที่ล้อมไปด้วยศาสนสถาน จึงเปรียบเสมือนว่าเป็นการดึงดูดผู้คนเข้ามาในพื้นที่ เพื่อให้เมืองดูมีชีวิตชีวา และยังเป็นการวางผังเมืองที่แสดงถึงการซ้อนทับกันระหว่างพื้นที่ของศาสนาและชุมชน จึงสามารถกล่าวได้ว่าสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญกับการสร้างกรุงเทพฯ เป็นอย่างมาก และสามารถบ่งบอกถึงการเป็นศูนย์กลางของจักรวาลกรุงเทพฯ ได้อย่างชัดเจน
เสาชิงช้าได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมและการตกแต่งบริเวณโครงยึดหัวเสาที่ใช้การแกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม โดยเรียกลักษณะเช่นนี้ว่าประตูเกี้ยวยอด ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับประตูเมืองกรุงเทพฯ ที่ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถของวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้ว จึงอยากแนะนำให้ทุกคนได้ไปเก็บภาพความงดงามของสถาปัตยกรรม พร้อมรำลึกถึงประวัติศาสตร์ของพิธีกรรมสำคัญที่เคยเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้