เบื้องหลัง Suzume เก้าอี้สามขา ประตูข้ามโลก และแมวลี้ลับของ มาโกโตะ ชินไค
- Suzume เข้าฉายในประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2565 และใช้เวลาเพียงแค่ 3 วัน กวาดรายได้ไปกว่า 13.49 ล้านเหรียญ หรือราว ๆ 459 ล้านบาท ขึ้นแท่นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลในประเทศญี่ปุ่น อันดับที่ 15 และภาพยนตร์เเอนิเมชันทำเงินสูงสุดตลอดกาลในประเทศญี่ปุ่น อันดับที่ 9
- มาโกโตะ ชินไค (Makoto Shinkai) ผู้โด่งดังจากแอนิเมชัน Your Name กลับมาพร้อมกับงานล่าสุดของเขา Suzume
แฟนๆ แอนิเมชันญี่ปุ่นย่อมรู้จักชื่อ มาโกโตะ ชินไค (Makoto Shinkai) เป็นอย่างดีกับผลงานที่มักจะถ่ายทอดมุมมองด้านความรัก ความสัมพันธ์ของผู้คน จากผลงานสร้างชื่อ เรื่องรักวัยรุ่นที่ฮิตถล่มทลายไปทั่วโลกอย่าง Your Name (2016) ต่อด้วย Weathering with You (2019) และงานล่าสุดของเขา Suzume ชินไคได้พยายามฉีกแนวทางเดิมกับเรื่องราวของ ซุซุเมะ หญิงสาววัยรุ่นกำพร้าแม่ที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยน้าสาวสถานะโสด เรื่องราวการผจญภัยของเธอกำลังเริ่มต้นพร้อมกับชายหนุ่มแปลกหน้า แมวลี้ลับ เก้าอี้สามขา เพื่อไขปริศนาประตูสีฟ้า ลืมบรรยากาศความโรแมนติกสไตล์ชินไคไปก่อน เพราะครั้งนี้เป็นการผจญภัยที่ก้ำกึ่งระหว่าง 2 โลก โลกความเป็นและโลกความตาย โลกจริงและแฟนตาซี เป็นการไขความลี้ลับที่อยู่ลึกในจิตวิญญาน ความรู้สึกของมนุษย์ เมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ โดยมีเหตุการณ์สึนามิถล่มเกาะญี่ปุ่น (มีนาคม ค.ศ. 2011) เป็นฉากหลังของเรื่อง
Sarakadee Lite ได้มีโอกาสพูดคุยกับ มาโกโตะ ชินไค ผู้กำกับ ภาพยนตร์แอนิเมะ Suzume ในงานฉายภาพยนตร์รอบพิเศษที่โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย พารากอน ซีเนเพล็กซ์ เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2566 หลังภาพยนตร์จบ มาโกโตะ ชินไค ได้เดินออกมาทักทายผู้ชมพร้อม “เก้าอี้สีเหลือง” ในมือ ชินไคบอกกับผู้ชมว่า “ผมพาคุณโซตะมาจากญี่ปุ่นด้วยนะครับ”
โชตะ คือพระเอกของเรื่อง เขาเป็นหนุ่มวัยมหาวิทยาลัยที่มีฝันอยากเป็นครู แต่เหตุการณ์อัศจรรย์จากดินแดนนิรันดร์ทำให้เขาไปพัวพันกับภารกิจการตอกตรึงหลักศิลา (กุญแจ) ประตูที่กั้นความหายนะ พร้อมลาวาสีแดงรูปเกลียวคลื่นยักษ์ที่กำลังจะหลุดขึ้นมาถล่มพื้นโลกให้มอดไหม้หายไปในพริบตา ต่อเมื่อโชตะได้เจอกับซุซุเมะและเก้าอี้สีเหลืองที่เป็นสมบัติจากวัยเด็กของเธอ อิทธิพลของคำสาปลึกลับทำให้โชตะกลายร่างเป็นเก้าอี้ตัวนั้นในทันที
สาวน้อยซุซุเมะกับหนุ่มโชตะในร่างเก้าอี้สีเหลืองที่เหลือเพียง 3 ขา ต้องออกเดินทางตามหาประตูสีฟ้าซีดจางบานนั้นที่ปรากฏในความฝัน เพื่อไขปริศนาและตอกตรึงหลักศิลา เพื่อปิดประตูความหายนะที่จะเกิดแก่โลก
“อย่างแรกเลย ผมบอกโปรดิวเซอร์ไปว่า ไม่อยากเขียนเรื่องโรแมนซ์แล้ว”
ชินไค บอกกับผู้ชมและสารภาพว่า Your Name หรือชื่อญี่ปุ่น Kimi no Nawa (คิมิโนนาวะ) นั้น เป็นงานแนวโรแมนซ์เล่าเรื่องราวความรักได้แบบสุดใจของเขาแล้ว ผลงานใหม่ในครั้งนี้เขาจึงต้องการสร้างความแตกต่าง
“ผมเชื่อว่าถ้าพูดถึงเรื่องเลิฟสตอรี่หรือโรแมนซ์ Kimino Nawa (คิมิโนนาวะ) น่าจะเป็นที่สุดของผมแล้ว ผมเลยรู้สึกว่าไม่อยากจะเขียนเรื่องราวแบบเดิม ๆ เลยอยากให้โซตะกับซุซุเมะมีความสัมพันธ์แบบพาร์ทเนอร์ชิป เป็นคู่ที่ต่อสู้ไปด้วยกันมากกว่าคู่รัก และอยากโฟกัสที่เรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ประสบภัยว่าเขาต่อสู้ยังไงมากกว่า ฉะนั้นถ้าปล่อยโซตะเป็นหนุ่มหล่อมันจะกลายเป็นเลิฟสตอรี่ไป” ชินไคอธิบายถึงการให้พระเอกของเรื่องอยู่ในร่างเก้าอี้สามขา รวมถึงฉากผจญภัยแอ็คชันต่างๆ ก็เกิดขึ้นในร่างเก้าอี้เหลืองตัวนั้น
นอกจากเรื่องราวที่แตกต่างไปจากเดิมแล้ว Suzume ยังมีความโดดเด่นของงานภาพแอนิเมชันที่สร้างผลกระทบทางอารมณ์สำหรับการชมในโรงภาพยนตร์ได้อย่างดีเยี่ยม เช่นเดียวกับผลงานที่ผ่านมาของชินไค รวมถึงเรื่องโรแมนซ์น่ารักๆ แต่มีมิติอื่นๆ ที่หนักขึ้น และยิ่งเรื่องราวสึนามิที่เป็นฉากหลังนั้นค่อนข้างหนักหน่วง และเป็นเหตุการณ์จริงที่กระทบความรู้สึกผู้คนโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น เขาจึงเลือกถ่ายทอดเรื่องราวในรูปแบบแอนิเมชัน เพราะชินไคเชื่อว่าเป็นนี่ความบันเทิงที่เข้าถึงคนรุ่นหลังได้
“เหตุการณ์นี้มีคนรุ่นหลังที่โตไม่ทัน แทบไม่มีความทรงจำนี้ (สึนามิ) เลย ผมเชื่อว่าแอนิเมชันน่าจะเป็นรูปแบบความบันเทิง ที่สามารถถ่ายทอดได้หลายสิ่งหลายอย่าง ผมรู้สึกว่าแอนิเมชันมันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่ทำให้คนรุ่นหลังๆ ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น (สึนามิเมื่อปี ค.ศ.2011) ได้”
Sarakadee Lite ชวนไปนั่งล้อมวงฟัง มาโกโตะ ชินไค เล่าถึงเบื้องหลังการสร้าง Suzume กันอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนที่แฟนๆ แอนิเมชันจะตีตั๋วชมในโรงภาพยนตร์กัน
จุดเริ่มต้นของ “การผนึกประตูของซุซุเมะ”
ผมคิดว่าทุกท่านที่ดูหนังเรื่องนี้ไปก็น่าจะมองเห็นถึงการโยงเหตุภัยพิบัติในปี 2011 ของประเทศญี่ปุ่น ย้อนไปเมื่อ12 ปีที่แล้ว ที่เมืองโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ และเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้เกิดสึนามิที่สูงจนเมืองถูกทำลายไป ต่อเนื่องถึงจังหวัดฟุคุชิมะ ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ สึนามิทำให้หลายคนไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านตัวเองได้ เหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์ใหญ่มาก วิวทิวทัศน์ที่เราดูใน Suzume หลายฉากคือมาจากเหตุการณ์ตอนนั้นเลย
ฉากที่เดินลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยไฟเพลิง ในเหตุการณ์จริงก็เป็นแบบนั้น เมืองถูกไฟเผาไหม้ ความแรงของสึนามิทำให้เกิดการระเบิด ทำให้ทุกอย่างไหม้เป็นเพลิงหมด ฉากนั้นสะท้อนให้เห็นว่า ถึงแม้เวลาจะผ่านมา 12 ปีแล้ว แต่ภายในจิตใจของซุซุเมะ ความทรงจำเหล่านั้นยังคงอยู่ อย่างฉากที่เห็นเรืออยู่บนตึก อันนั้นก็เป็นเหตุการณ์จริงเพราะสึนามิสูงมาก ซัดเรือขึ้นไปอยู่บนตึกได้ มันอาจมีความเศร้าอยู่ในเนื้อเรื่องก็จริง แต่เหตุที่ผมพยายามโยงโลกแห่งความจริงมารวมกันในหนังแอนิเมชันเรื่องนี้เพราะผมเชื่อว่า ถึงแม้คนเราจะเจอเหตุการณ์ที่โหดร้ายขนาดไหน ถ้าเกิดเรายังมีความมุ่งมั่น และสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ เราก็จะสามารถผ่านมันได้เหมือนซุซุเมะ และจะสามารถยิ้มต่อไปได้ ผมจะมีความสุขมากถ้าทำให้คนดูหนังจบแล้วมียิ้มบ้าง สนุกบ้าง มีขำบ้าง แต่บางฉากก็หลั่งน้ำตา ซึ่งมันเป็นความรู้สึกทั้งหมดที่รวบรวมอยู่ในหนังเรื่องนี้ที่ผมอยากจะถ่ายทอด
วิธีคิดและกระบวนการทำงานของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไร
ความท้าทายหลักๆ คือ หนังเล่าจากเหตุการณ์จริง และการเอาเรื่องจริง เหตุการณ์ภัยพิบัติจริงๆ มาใส่ในหนังซึ่งเป็นความบันเทิง การหาจุดว่าอะไรคือความสมดุล อะไรคือความเหมาะสม เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มาก เอาจริงๆ แล้ว 12 ปีที่ผ่านมา (หลังเหตุการณ์สึนามิปี 2011) ก็จะเจนเนอเรชันที่เพิ่งโตและจำเหตุการณ์นี้แทบไม่ได้ ผมเชื่อว่าแอนิเมชันน่าจะเป็นความบันเทิงที่สามารถถ่ายทอดได้หลายสิ่งหลายอย่าง ผมรู้สึกว่าถ้าผมสามารถเล่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นนี้ผ่านทางแอนิเมชัน ได้ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่ทำให้เจเนอเรชันหลังๆ ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ส่วนกระบวนการสร้างหนังหนึ่งเรื่องของผมเริ่มจากเขียนบท เขียนเรื่องราวก่อน ผมทำงานคนเดียว ใช้เวลาเฉพาะเขียนบทก็อย่างน้อยครึ่งปี ซึ่งระยะเวลาการเขียนเนื้อเรื่องก็แล้วแต่ผู้กำกับ แล้วแต่ประเทศ แล้วแต่วิธีการทำงาน คงไม่เหมือนกัน สำหรับผมเขียนบทเรื่องนี้เสร็จภายใน 6 เดือน ซึ่งอาจจะถือว่าเร็วหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ Your Name (ฉบับรีเมคในฮอลลีวูด) 4 ปีแล้วเขายังสร้างไม่เสร็จเลย ไม่รู้เสร็จเมื่อไร ผมก็รอดูอยู่เหมือนกัน
ขั้นตอนหลังจากได้บทภาพยนตร์แล้วก็คือเขียนสตอรีบอร์ด ซึ่งใช้เวลาเขียน 1 ปี 3 เดือน ผมทำเองทั้งหมด ในเรื่องราวที่เป็นภาพยนตร์ยาว 2 ชั่วโมง ผมเขียนเรื่องเป็นสตอรีบอร์ดแบบวาดมือ เขียนเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ จนจบ และเทคนิคส่วนตัวของผมคือ เวลาเขียนสตอรีบอร์ด ผมจะพากย์เสียงเองเลย ไม่ว่าจะเป็นเสียงพระเอกหรือเสียงนางเอก ที่พากย์เองเพื่อจะได้รู้จังหวะจะโคนของบทสนทนาและความยาวของแต่ละเฟรม แม้ผมไม่ได้เป็นนักแสดง แต่เวลาผมทำสตอรีบอร์ด ผมจะพากย์เสียงใส่อารมณ์แบบพูดคนเดียวเลย ทำอย่างนี้ทุกวันตลอดช่วง 1 ปี 3 เดือน จนลูกสาวมาถามว่าพ่อเป็นอะไรหรือเปล่า คนข้างบ้านก็กลัว สำหรับผมการใส่อารมณ์เต็มที่อัดเสียงไว้เป็นไกด์ให้กับนักพากย์ ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญมาก เสร็จจากสตอรีบอร์ดแล้วจึงเรียกทีมงานมาพูดคุยกัน ทำงานต่ออีก 1 ปี 8 เดือน จึงเสร็จเป็นหนังฉายวันนี้ได้
สังเกตุว่าในหนังของ มาโกโตะ ชินไค นางเอกมักจะอายุมากกว่าพระเอก จุดนี้มีที่มาอย่างไร
จริงๆ ผมไม่เคยคิดประเด็นนี้ แต่จะพยายามคิดให้นะ ตอนที่ผมอยู่มหาวิทยาลัยช่วงอายุ 20 ปี ผมเคยไปหลงรักผู้หญิงที่แก่กว่า ผม 10 ปี ผมเป็นคนอยากรู้อยากเห็นในโลกที่ไม่มีคำตอบ และอยากรู้ในโลกที่เราเอื้อมไม่ถึง โลกที่เราไม่มีความรู้ การชอบใครที่อายุมากกว่า หรือดูน่ามีความรู้ที่เราไม่รู้ เป็นอะไรที่น่าหลงใหลมาก ในหนังของผมก็เลยมีตัวละครแบบนั้น แต่ในเรื่อง Suzume ผมไม่อยากจะซ้ำรอยเดิม ตัวละครพระเอก (โชตะ) เลยอายุมากกว่านางเอก
ทำไม Suzume ถึงเลือกใช้เพลงป๊อปญี่ปุ่นยุค 80 อย่างเพลงของ เซย์โกะ มัตสึดะ และ ยูมิ มัตสึโตยะ
ฉากในรถยนต์ของ ซาริซาวะ (ตัวละครเพื่อนพระเอกที่พาซุซุเมะและคุณน้าของเธอเดินทางไปตามหาประตู) จะเป็นเพลงป๊อปฮิตยุค 80 ของญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะเก่ามาก หลายคนอาจไม่รู้จัก และเพลงแรกเลยตอนซาริซาวะติดเครื่องยนต์ เป็นเพลงจากหนังเรื่อง แม่มดน้อยกิกิ ของสตูดิโอจิบลิ อันนั้นเป็นเพลงเก่าก็จริงแต่เป็นเพลงคลาสสิคที่คนญี่ปุ่นทุกคนต้องรู้จัก ผมเลยเลือกเพลงนี้ ส่วนเหตุผลที่เลือกเพลงยุค 80 เพราะอยากจะเชื่อมต่อโลกของซุซุเมะ (ในหนัง) กับโลกของความเป็นจริง ด้วยบทเพลงที่เป็นเพลงฮิต เพราะว่าตัวละครต่อสู้กับตัวหนอนจากพื้นโลก มันเป็นแฟนตาซีมาก แต่เราอยากเล่าเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่งกับเหตุการณ์ที่เขาเจอเมื่อ 12 ปีที่แล้ว เรื่องแบบแฟนตาซีแต่มีเพลงฮิตที่คนดูรู้จัก คุ้นหู ทำให้เพลงทำหน้าที่เชื่อมโลกแฟนตาซีในหนังเข้ากับชีวิตจริง
เก้าอี้สีเหลืองเหลือแค่สามขา สื่อความหมายอย่างไร และทำไมต้องให้พระเอกถูกสาปเป็นเก้าอี้
เก้าอี้เหลือ 3 ขา มันอาจไม่ได้ถูกเล่าให้ชัดเจน แต่เป็นเพราะเหตุการณ์สึนามิและสื่อถึงจิตใจของซุซุเมะที่เสียแม่ไป บางสิ่งบางอย่างในใจเธอก็ขาดหายไป และอยากจะสื่อความหมายว่า แม้เราจะไม่ครบองค์ประกอบ เป็นแค่เก้าอี้สามขา ส่วนที่ต้องให้พระเอกถูกสาปเป็นเก้าอี้สามขา ผมสารภาพนะ ตอนแรกอยากให้ผู้ร่วมผจญภัยของซุซุเมะ ค่อยๆ กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด ผมออกแบบโปสเตอร์เสร็จไปแล้วด้วย โปสเตอร์หนังภาพสาวน้อยในชุดนักเรียนยืนคู่กับสัตว์ประหลาดในสถานที่รกร้าง มันก็ดูน่าสนใจ แต่ดูอีกทีแล้วมันจะเท่เกินไป เพราะหนังอิงเรื่องเหตุภัยพิบัติที่เกิดจริง ถ้าทำให้มันเท่ไป มันจะดูขึงขังไป อยากให้ออกมาบันเทิง ให้เป็นของน่ารักๆ มาไว้ข้างๆ นางเอก ก็เลยเป็นเก้าอี้เด็ก และใครจะไปคิดว่าเก้าอี้มันจะขยับได้ แถมยังมีแค่สามขา แค่ขยับก็รู้สึกน่ารักแล้ว ก็เลยกลายเป็นเก้าอี้สามขาตัวนี้
ที่มาของตัวละครแมวในเรื่อง
เหตุผลแรกคือ ผมชอบแมว ในช่วงที่ทำหนังเรื่องนี้ ผมไปรับแมวมาเลี้ยงจากศูนย์อุปการะแมวจร ตั้งชื่อมันว่า ซุซุเมะ และเหตุผลที่ต้องมีตัวละครแมว (ในเรื่องชื่อ ไดจิน) ก็เพื่อเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ในฉากที่ซุซุเมะปิดประตู จะมีบทพูดว่า ขอคืนแผ่นดินนี้ให้เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมก็เลยคิดว่าตัวละครไดจินควรเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ เมื่อนึกถึงธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ ทะเลเวลาสงบมันสวยงามมาก แต่เวลาเป็นคลื่นสึนามิก็โหดร้ายมาก ผมก็เลยคิดว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ที่แล้วแต่อารมณ์ เจ้าอารมณ์ และเดาอารมณ์ไม่ถูกก็น่าจะเป็นแมว
Fact File
- Suzume เข้าฉายในประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2565 และใช้เวลาเพียงแค่ 3 วัน กวาดรายได้ไปกว่า 13.49 ล้านเหรียญ หรือราว ๆ 459 ล้านบาท โดยปัจจุบัน Suzume กวาดรายได้รวมทั่วโลกไปแล้วกว่า 114.9 ล้านเหรียญ หรือเกือบ ๆ 4 พันล้านบาท ขึ้นแท่นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลในประเทศญี่ปุ่น อันดับที่ 15 และภาพยนตร์เเอนิเมชันทำเงินสูงสุดตลอดกาลในประเทศญี่ปุ่น อันดับที่ 9
- Suzume มียอดจำหน่ายตั๋วมากกว่า Your Name (2016) ผลงานขึ้นหิ้งของมาโกโตะ ชินไค ถึง 38.7% และทำเงินได้มากกว่า 47.4% ใน 3 วันแรกที่เข้าฉาย และยังมียอดจำหน่ายตั๋วมากกว่า Weathering With You (2019) ผลงานชิ้นก่อนหน้านี้ของเขาถึง 14.8% และทำเงินได้มากกว่า 14.4% ทำให้ Suzume กลายเป็นผลงานภาพยนตร์ที่ทำเงินเปิดตัวใน 3 วันแรกสูงสุดของมาโกโตะ ชินไค