ปริศนารสน้ำผึ้งกับความรักลับแลใน ป่าน้ำผึ้ง
- ป่าน้ำผึ้ง เป็นผลงานนวนิยายของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ นักเขียนผู้ช่ำชองในงานวรรณกรรมและการเชื่อมโยงความรู้สาขาต่างๆ
- นวนิยาย ป่าน้ำผึ้ง เล่าถึงความรักพิศวงในโลกที่ยากจะอธิบาย เพิ่มความสนุกด้วยการบรรยายอ้างอิงฉากหลังในประวัติศาสตร์จริง ซึ่งเป็นโครงเรื่องที่ปรากฏมาแล้วในผลงานชิ้นก่อนของนักเขียนเช่น จุงกิงเซ็กซ์เพรส และ วายัง อมฤต
“สำหรับผึ้งแล้ว ดอกไม้คือน้ำพุแห่งชีวิตและสำหรับดอกไม้ ผึ้งคือผู้นำสาส์นแห่งความรัก”
ป่าน้ำผึ้ง นวนิยายผลงานปลายปากกาของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ นักเขียนมากฝีมือในวงการวรรณกรรมไทยร่วมสมัย และเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีผลงานต่อเนื่องและหลากหลายทั้งหมวดนวนิยาย สารคดี ทั้งแก่นเรื่องรัก เรื่องอาหาร ประวัติศาสตร์ และสำหรับ ป่าน้ำผึ้ง อนุสรณ์ยังคงเอกลักษณ์ทางภาษาและการเล่าเรื่องในบรรยากาศขลังขรึม เจือด้วยความสัมพันธ์รสหวานชวนฝัน ประกอบกับการเสนอวัฒนธรรม รสชาติ และประวัติศาสตร์ ในบรรยากาศประเทศไทยยุคสมัยใหม่ช่วง จอมพล ป. พิบูลสงคราม
จากความหวานของน้ำผึ้งถึงรสชาติชีวิต
ป่าน้ำผึ้ง เล่าเรื่องของ แปลก ชายหนุ่มผู้ผิดหวังจากความรักจนต้องปลีกตัวออกเดินทางจนได้มาพบกับ เจริญ หรือในอีกนามว่า หลวงบุรินทร์ฯ ข้าราชการผู้มีอดีตลึกลับ ส่วนปัจจุบันเขากำลังเดินป่าออกตามหาและเก็บตัวอย่างรสชาติน้ำผึ้งแบบต่างๆ ต่อเมื่อทั้งสองได้มาพบกัน แปลกจึงตัดสินใจร่วมงานในโครงการเก็บน้ำผึ้งของเจริญด้วยเหตุผลของการรักษาแผลใจสดๆ ที่ตนเพิ่งหลีกหนีด้วยการเดินทางรอนแรมออกมาให้ห่าง แต่ระหว่างรอแผลใจสมาน แปลกก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับชนิด รสชาติ และวิธีการเก็บน้ำผึ้งจากเจริญ ทั้งคู่ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ ซึ่งกันและกัน เป็นยาสมานแผลรสน้ำผึ้งที่ให้คุณทางความคิดกับแปลกไปมากกว่าแค่การสมานแผลในใจ
“แต่ชีวิตคนเราก็มักเป็นแบบนี้ที่พลัดหลงเข้าไปในอะไรบางอย่างจนถอนตัวไม่ขึ้นในที่สุด แม้ว่าจะไม่คิดจริงจังกับมันในตอนแรกก็ตาม”
คำพูดที่กำลังอธิบายการเดินทางเสาะแสวงหาน้ำผึ้งนี้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องความรัก แต่ยังซ่อนนัยถึงความปรารถนาและความลุ่มหลงของเจริญ ผู้ริเริ่มภารกิจเดินทางเก็บน้ำผึ้งเพื่อแสวงหารสชาติที่ซับซ้อนของธรรมชาติอันเกิดจากการสะสมเกสรของผึ้งไว้ในรังผึ้ง ถ้อยคำดังกล่าวไม่เพียงเอ่ยถึงวงจรในชีวิตผึ้ง แต่คำกล่าวนี้ยังสะท้อนเรื่องราวชีวิต ความรัก และประสบการณ์ของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เพราะหากเปรียบการเก็บเกสรมาประกอบเข้ากับรังเพื่อสร้างน้ำผึ้ง เป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ ของมนุษย์เข้ากับร่าง ก็พอจะมองเห็นภาพโลกคู่ขนานของความรู้ที่มนุษย์ได้จากผึ้ง
“เจริญดูเป็นชายที่ทุ่มเทกับการทำงานจนเหมือนว่าชีวิตของเขาไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากงานและผึ้งเท่านั้น”
แปลกคิดขึ้นเมื่อได้ร่วมงานกับเจริญ เขาตั้งข้อสังเกตว่าการตามหาน้ำผึ้งของเจริญไม่ได้เป็นเพียงแค่งาน แต่ยังดูเหมือนเป็นภารกิจแห่งชีวิตที่เจริญอุทิศตัวตนทุ่มเทกับภารกิจนี้จนกลายเป็นนิยาม การมีชีวิตอยู่ ของเขา ซึ่งการที่เจริญมุ่งเก็บน้ำผึ้งก็เกิดจากการที่ครั้งหนึ่งเขาได้หลงรัก แสงฉาน หญิงปริศนาผู้นำพาให้เขาหลงรักทั้งเธอและน้ำผึ้งในคราวเดียวกัน ต่อมาเมื่อทั้งคู่ต้องพลัดพรากเจริญจึงยังคงเดินหน้าเข้าป่าเก็บน้ำผึ้งต่อไป เพราะเขาไม่สามารถลืมแสงฉานและไม่สามารถละทิ้งความลุ่มหลงในอดีตส่วนนี้ได้ อดีตของเจริญจึงเป็นฐานในการกระทำที่ใช้นิยามชีวิตของเขาในปัจจุบัน การเก็บน้ำผึ้งของเจริญจึงเป็นผลพวงจากอดีตที่ยึดถืออยู่ ต่างจากการเรียนรู้งานของแปลกที่เป็นปัจจุบัน ซ้ำยังใช้เป็นเครื่องมือที่จะเลือนแผลใจในอดีตของเขาได้อีกด้วย
ความลุ่มหลงในการจะทำอะไรบางอย่าจึงคล้ายกับว่ามันเป็นผลพวงของสิ่งที่ผ่านมา รวมทั้งเป็นเส้นทางที่จะนำพาไปสู่อนาคตได้เช่นกัน และไม่ว่าจะทางไหน จะภายหน้าหรือข้างหลัง ความลุ่มหลงที่ถอนตัวไม่ขึ้นนี่แหละที่จะนิยามชีวิตของคนผู้นั้นในปัจจุบันและอนาคตต่อจากนี้ไป ดังความลุ่มหลงในนวนิยาย ป่าน้ำผึ้ง เล่มนี้ที่ทำให้เห็นความสัมพันธ์ของการสร้างความหมายชีวิตผ่านสิ่งที่มนุษย์ลุ่มหลงอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เสมือนผึ้งที่ดูดเกสรจนสร้างน้ำผึ้งสู่รังซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายมาเป็นวิถีและคำอธิบายการมีอยู่ของพวกมัน
บทเรียนของความรักลับแล
หากประสบการณ์หมายถึงการสร้างบ้านทั้งหลังที่มีชีวิตอาศัยอยู่ในนั้นดั่งผึ้งสร้างน้ำผึ้งกักเก็บไว้ในรัง ชีวิตของเจริญที่ออกตามหาน้ำผึ้งมากักเก็บไว้ในรังจึงช่างน่าฉงนอยู่ไม่น้อยอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตข้าราชการที่มีความมั่นคงต้องเดินทางสู่นักเก็บน้ำผึ้งหรือจะเป็นการได้พบรักกับ แสงฉาน หญิงสาวลึกลับราวกับผีป่าผีเขา หรือจะเป็นภาพบนลายผ้าที่แสงฉานทอและถวายให้แก่วัดเป็นภาพที่เขาและเธอกำลังเก็บน้ำผึ้ง และพลันความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเสมือนว่าเจริญกำลังหลุดเข้าไปในลายผ้านั้นและได้ใช้ชีวิตกับแสงฉานด้วยการเก็บน้ำผึ้งยังชีพ
ต่อเมื่อเวลาผ่านไปเจริญกลับคิดถึงภูมิหลังของเขาทั้งครอบครัว พ่อแม่ และหน้าที่การงาน แต่ด้วยเงื่อนไขบางอย่างของแสงฉานที่ขนานไปจากโลกของเจริญ โลกของแสงฉานผูกอยู่กับป่าและการออกตามหาน้ำผึ้ง เจริญจึงต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ทว่าเมื่อเจริญเลือกที่จะกลับไปหาพ่อแม่และงานโดยคิดว่าจะกลับมาหาแสงฉานได้ตรงนั้น โลกที่ฝันไว้ทั้งหมดจึงจบลงตรงที่เจริญไม่มีโอกาสได้พบแสงฉานอีกเลยหลังเกิดมิติที่เรียกว่า ป่าปิด
ความรักของเจริญที่มีต่อแสงฉาน การที่เขาไม่สามารถลืมเธอได้ทำให้การเก็บน้ำผึ้งได้กลายเป็นชีวิตของเจริญในภายหลัง เขาจมปลักกับทางเลือกอันผิดพลาดในอดีต ไม่นานครอบครัวพ่อแม่ของเขาก็จากไปตามวาระเวลา เพื่อนฝูงค่อยๆ แยกย้ายจนไม่เชื่อมต่อกัน ทำให้สิ่งเดียวที่เขามีอยู่คืออดีตอันลึกลับเหนือจริง และเรื่องราวทั้งหมดที่เจริญเล่าให้แปลกฟัง แปลกสรุปใจความสำหรับตนได้ว่า
“ความอาลัยอาวรณ์อันไม่สิ้นสุดนั้นให้โทษเช่นใด”
วรรณกรรม ป่าน้ำผึ้ง นำไปสู่การตั้งคำถามที่ใหญ่กว่าเรื่องรัก นั่นคือการประกอบสร้างความรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของชีวิตผ่าน “บทเรียน” ของผู้อื่นที่แม้ฟังดูจะเป็นเรื่องเหนือจริงอยู่นอกสำนึกร่วมราวกับเป็นมิติพิศวงราวกับเมืองลับแลที่ไม่มีอยู่จริง แต่ใจความของเรื่องต่างหากที่สามารถจะกลายมาเป็นบทเรียนของชีวิตผู้อื่นนอกจากผู้เล่าได้เช่นครั้งนี้แปลกได้บทเรียนจากเจริญ คำว่าบทเรียนได้ที่นี้จึงเป็นการส่งทอดความรู้และอาศัยการตีความของผู้ฟังจากเรื่องเล่าของผู้เล่า และเมื่อเรื่องเล่ามีพลังพอที่จะสร้างความตระหนักรู้ เรื่องเล่านั้นก็สามารถเปลี่ยนชีวิตผู้ฟังไปได้ตลอดกาลเช่นเดียวกับบทเรียนที่มาจากพลังของเรื่องเล่าในนวนิยาย ป่าน้ำผึ้ง เล่มนี้
Fact File
• ป่าน้ำผึ้ง
• ผู้เขียน : อนุสรณ์ ติปยานนท์
• สำนักพิมพ์ : เคหวัตถุ
• ราคา : 280 บาท