ดิว ไปด้วยกันนะ เรื่องรักในวันเก่าที่ท้าทายจารีตสังคม 90s
- ผู้กำกับ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล แห่งรักแห่งสยาม กลับมาอีกครั้งกับ ดิว ไปด้วยกันนะ หนังฉาบหน้าเรื่องรักของชายกับชาย หนุนหลังไว้ด้วยปูมหลังของสังคมไทยยุค 90s เรื่องราวความรักและการรู้จักตัวเองของวัยรุ่นคู่หนึ่ง มันไม่จบกันง่าย ๆ หรืออาจไม่ลงเอยกันได้เลยในชาตินี้
- ดิว ไปด้วยกันนะ ดัดแปลงจากภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง Bungee Jumping of Their Own (2001) ภายใต้การควบคุมของบริษัท CJ MAJOR Entertainment และล่าสุดกำลังจะลงฉายในช่อง Netflix
จากผู้กำกับ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล แห่งรักแห่งสยาม กลับมาอีกครั้งกับ ดิว ไปด้วยกันนะ หนังฉาบหน้าเรื่องรักของชายกับชาย หนุนหลังไว้ด้วยปูมหลังของสังคมไทยยุค 90s เรื่องราวความรักและการรู้จักตัวเองของวัยรุ่นคู่หนึ่ง มันไม่จบกันง่าย ๆ หรืออาจไม่ลงเอยกันได้เลยในชาตินี้
“ดิว ไปด้วยกันนะ” ชื่ออังกฤษ DEW เป็นหนังทุนสร้างจากเกาหลีใต้ค่าย CJ Entertainment (ภายใต้การควบคุมของบริษัทในไทยชื่อ CJ MAJOR Entertainment) บทหนังดัดแปลงจาก Bungee Jumping of Their Own หนังรักสุดซึ้งของเกาหลีฉายเมื่อ ค.ศ.2001
เรื่องย่อ
เหตุการณ์เกิดขึ้นเริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. 2539 ที่ “ปางน้อย” ชื่อสมมติอำเภอเล็ก ใกล้จังหวัดเชียงใหม่ ทางภาคเหนือ ของไทยดิวและภพ นักเรียนชายมัธยมปลาย จากสองครอบครัวที่ต่างกัน ได้เริ่มต้นความสัมพันธ์ที่นั่น เมื่อ พ.ศ. 2539 ยุคที่สังคมและโรงเรียนมองผู้ชายลักษณะตุ้งติ้ง คนเข้าข่ายชายรักชายเป็นคนป่วยด้วยอาการ “เบี่ยงเบนทางเพศ” สมควรต้องจับไปบำบัดกับจิตแพทย์ในค่ายทหาร ในรูปแบบการเรียน รด.
ดิวและภพ จึงโดนจัดหนักไปไม่น้อย และความรักที่ทั้งสองยอมรับความรู้สึก แต่สุดท้ายก็ไปต่อกันไม่รอด ภพหนีออกมาจากเมืองนั้น แต่ดิวยังติดอยู่ที่นั่น ฟาสต์ฟอร์เวิร์ดมาที่ พ.ศ. 2562 (ยี่สิบปีต่อมา) ไม่มีการล้างแค้น แต่มันมีการชำระสะสางอดีต เมื่อ ภพ ในวัยผู้ใหญ่มีภรรยาแล้ว กลับมาหวังเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเริ่มต้นเป็นครูฝึกสอน หลังจากธุรกิจส่วนตัวล้มเหลว
สิ่งที่ภพเคยหันหลังจากไปตอนวัยรุ่น มันยังรอคอยเขาอยู่ที่ปางน้อย ทั้งเรื่องเก่า ความทรงจำที่เต็มไปด้วยความสุขและเจ็บปวด และ เรื่องใหม่ เมื่อเขาได้พบและมีความสัมพันธ์ที่หมิ่นเหม่กับนักเรียนสาวชื่อ หลิวเขาต้องเผชิญการตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้ง
บนถนนของคนอื่น
ในช่วงแรกของหนังเปิดฉากด้วยการระบุวันเวลาสถานที่ “พ.ศ. 2539 ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในปางน้อย” และการพบกันของดิวและภพเมื่อดิวกระโดดโลดเต้นฟังเพลงจากเครื่องเล่นเทปพกพา (ยุคเด็กเทป) อยู่กลางถนนระหว่างทางไปโรงเรียน ขณะที่ภพขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา บีบแตรเสียงดังเตือนสติ แต่ก็อาสาพาไปด้วยกัน ก่อนจะเจออุบัติเหตุตกคูน้ำ ได้สัมผัสตัวและต้องใจกันลึกซึ้ง
ฉากนี้เห็นได้ว่า ดิว มีความเป็นวัยรุ่นท้าทายต่อกฎของถนนแบบเบา ๆ ส่วน ภพ มาพร้อมกับความถูกต้องและการเคารพกฎระเบียบถนนมีไว้ให้ยานพาหนะถนนสายนั้นไม่ใช่ของดิวคนเดียว การมาเดินกร่างกลางถนนของดิว มันผิดกฎและผิดวิถีที่คนปกติควรทำด้วย
เหตุการณ์ต่อมา ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมปางน้อยประกาศหน้าเสาธง ให้มีการคัดแยกนักเรียน เข้าข่าย มีความเบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งถูกเรียกชื่อเป็นพวกตุ๊ด และ (อี)กะเทยเพื่อนำไปเข้าค่ายทหารบำบัดอาการป่วยนั้น
หนังได้เผยถึงบริบทสังคมในยุคนั้นกับคำว่า “เบี่ยงเบนทางเพศ” ยากที่จะปฏิเสธว่าเคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเราจริง ๆ การที่สังคมมีอคติกับคนที่มีลักษณะขัดต่อภาพจำที่มีของร่างกายเป็นคนที่แปลกปลอมต้องถูกอบรมบำบัดรักษาเช่นเดียวกับการป่วยไข้
นอกจากระดับผู้มีอำนาจในโรงเรียนแล้ว ในระดับสังคมของเหล่านักเรียนเองอคตินั้นก็รุนแรงเช่นกัน เมื่อเพื่อน ๆ รู้ว่า ดิวเข้าข่ายกลุ่มเบี่ยงเบนทางเพศ ดิวก็ถูกกลั่นแกล้งสารพัดแบบ(สมัยนี้เรียกกันว่า บุลลี่)ทั้งการขีดเขียนคำหยาบ ฝากรอยแสดงความเหยียดหยามไว้บนโต๊ะนักเรียน และการแสดงท่าทีไม่ดี
สังคมในปางน้อยเป็นสังคมเล็ก ใครทำอะไรรู้ถึงกันหมดเรื่องของดิวกับภพ ขยายไปตามลมปากและสังคมแบบนี้ก็เปิดทางให้ความคิดที่ยอมให้เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจในเครื่องแบบอย่างทหารและจิตแพทย์ มาชี้ถูกผิดและเที่ยวจับคนไปบำบัดลุกลามดั่งโรคร้ายในนามของ “ความถูกต้อง” และ “ความเป็นปกติ” ซึ่งไม่ใช่ความเป็น “ปกติ” แบบที่ดิวเป็น
ปางน้อยไม่ใช่ที่ที่จะมีใครมาโลดเต้นกลางถนนและไม่ใช่ที่ของคนที่ยอมรับและพาซ้อนไปด้วยกัน แต่ดิวอาจยังมีโชคอยู่บ้างที่คนบีบแตรเป็นภพและรับดิวซ้อนท้ายไปด้วยกันแม้จะต้องลงคูน้ำทั้งคู่ก็ตามแต่ลงคูน้ำคนเดียวกับสองคนมันต่างกัน และการตกคูน้ำไปด้วยกันบนโลกที่หากทั้งภพและดิวจะรักกันมันกระท่อนกระแท่น มีอุปสรรค จากความเชื่อ บรรทัดฐานของสังคม วัฒนธรรมจารีต และ อำนาจนิยม
ความสัมพันธ์นี้มีแค่เราที่รู้จังหวะ
หลังจากความสัมพันธ์ของ “ดิวและภพ”ก่อตัวขึ้น หนังสร้างบรรยากาศยืนยันว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังรักฉากเต้นรำที่นำเสนอทั้งความโรแมนติกและการหยอกล้อกับความย้อนแยงของจารีตในสังคม
ในฉากวิชาลีลาศเสียงเพลง “เริงลีลาศ” ของ คณะสุนทราภรณ์เนื้อเพลงบอกว่า “สวรรค์นะซิสวรรค์รำไร พิไรโอบไหล่ ล้อมเรา” สื่อความหมายความสัมพันธ์ของดิวและภพในช่วงเวลานั้น ร่างกายของทั้งคู่เสมือนเป็นหนึ่งเดียว เป็นช่วงเวลาที่พร้อมสำหรับกันและกันเพียงสองคน การแสดงออกของร่างกายแววตา โดยไม่มีใครรู้สึกว่ามันคือ “ความผิดปกติ” ความโรแมนติกในฉากนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เป็นเพียงชั่วคราว เพราะได้รับอนุญาตจากครูผู้คุมอำนาจในห้องเรียนนั้น
คำพูดของครูที่ว่า “วันนี้เราจะจับคู่ชาย-ชายและหญิง-หญิงนะครับเพื่อวัฒนธรรมอันดีของบ้านเราจะได้ไม่ผิดผีกัน” ตอกย้ำจารีตที่ยึดถือ การจับเนื้อต้องตัวของเพศชายกับหญิงในวิชาเรียนลีลาศนั้น “ผิดผี” แต่การจับคู่ชายกับชาย ก็ทำได้แค่เพียงเต้นรำในห้องเรียน หากมากไปกว่านี้สังคมปางน้อยก็รับไม่ได้อีก
การเต้นรำครั้งนี้สะท้อน “จารีตของสังคม” ที่มีกรอบที่แคบและละเอียดมากในการจัดการความสัมพันธ์ ถึงขั้นระบุได้ในกิจกรรมต่างๆว่า อะไรควรทำ ทำได้แค่ไหน และอะไรไม่ควรทำ
คำสั่งของครู เสียงเพลง และการที่ต้องรักษาการก้าวเต้นตามจังหวะที่ครูมีอำนาจกำหนดในกรอบกติกาที่ได้รับ คือ ภาพแทนการเปรียบเทียบสถานะของอำนาจที่ครอบงำโดยไม่รู้ตัว
หนังมีมุกตลกร้าย สะท้อนความย้อนแยง กับภาพครูผู้สอนกำลังเต้นสะบัดอย่างเมามันและเห็นได้ว่า ลักษณะกายภาพและการแสดงออกไม่ต่างจากกะเทยแต่เขากลับมีอิสระในการแสดงออกและไม่ถูกลงโทษรุนแรง อดคิดถึงประเด็นที่ว่า เพราะ “ครู” อยู่ในสถานะเหนือกว่านักเรียนเช่นเดียวกับสถาบันและความเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งมีอำนาจตามวัฒนธรรมอำนาจนิยมในสังคมไทย ครูนักเต้นสะโพกไหวคนนี้จึงไม่ต้องโดนจัดหนักอย่างเด็กๆ วัยรุ่นยุคนั้น
ความรักยังเป็นแค่เรื่องของเราจริงหรือเปล่า
ความสัมพันธ์ของภพและดิวแน่นแฟ้นขึ้น แต่สังคมรอบตัวของพวกเขากลับสั่นไหวและมีผลสั่นคลอนความรู้สึกของทั้งคู่ โดยเฉพาะ ภพ ทั้งนี้สังคมหลักของทั้งสอง คือ โรงเรียน และครอบครัว โดยเฉพาะในฝั่งของภพ ที่เป็นครอบครัวเชื้อสายจีนและยังมีวิถีชีวิตแบบจีน พูดจีนกันในบ้านด้วย พ่อมีอำนาจสูงสุด สำหรับพ่อหากลูกชายไปมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันมันดูเป็นเรื่องแปลกประหลาดของสังคมปางน้อย
ความบีบคั้นที่ทำให้ความสัมพันธ์ของดิวและภพต้องมาถึงจุดที่ต้องเลือกจะเป็นเส้นทางความรักที่พวกเขาสัมผัสจากใจ หรือเส้นทางที่สังคมกำหนดกรอบให้อยู่ในวิถีปกติ ที่ชายรักชายเป็นสิ่งต้องห้าม
บาดแผลของภพกับการซ้ำรอยอดีต
ช่วงครึ่งหลังของหนัง ตัวละครเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่สังคมเติบโตไปด้วยไหม หรือกระทั่งตัวละครอย่าง “ภพ” เอง มีชีวิตใหม่และความรักครั้งใหม่ได้ไหม
ที่ ปางน้อย ณ ปัจจุบัน (พ.ศ. 2562)ภพในวัยผู้ใหญ่เดินทางกลับมาด้วยรถยนต์พร้อมกับภรรยาการกลับมาครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี นับจากวันที่เขาเลือกเส้นทางของตัวเองที่ไม่มีดิวไปด้วย เหตุผลการกลับมาคือ การพยายามเริ่มต้นใหม่ในอาชีพครูหลังจากที่ธุรกิจส่วนตัวล้มเหลว ภพได้งานครูที่โรงเรียนเดิม สภาพหลายอย่างยังคล้ายเดิม แต่การพบกับนักเรียนรุ่นใหม่ที่มีอิสระในการแสดงออก กล้าท้าทายผู้ใหญ่ และทำตามใจตัวเองมากขึ้น ทำให้ภพได้ภารกิจที่ท้าทายทั้งสมองและหัวใจ
เขาได้รับมอบหมายให้ดูแล หลิว เด็กนักเรียนหญิงเกเร ซึ่งทำให้ภพได้ใกล้ชิดและเกิดความรักกับเด็กนักเรียนหญิง เข้าข่ายรักต้องห้าม และเปิดแผลเก่าของเขาสมัยวัยรุ่นขึ้นมาอีก
ปางน้อยในหนังเรื่องนี้หยุดนิ่งและเป็นอดีตที่ถูกแช่แข็ง ภพกลับมาสู่ปางน้อยด้วยหวังว่าเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่กลับเจออุปสรรคคล้ายเดิม โจทย์เดิม เรื่องความรัก กลับมาเป็นปมให้ภพแก้ ทั้งการเป็นรักซ้อนกับภรรยาที่มีอยู่แล้ว รักระหว่างครูกับนักเรียน และรักที่ซ้อนทับกับเงาอดีต
เงาของการใช้อำนาจ “ผู้อาวุโสและมีสถานะเหนือกว่า” กลับมาซ้อนทับในตัวของภพ เมื่อเขาจัดการกับหลิวและแฟนหนุ่มรุ่นพี่ของหลิว
การปฏิบัติของภพในฐานะครูสามารถอธิบายการที่ปางน้อยหยุดนิ่งเมื่อเวลาผ่านก็ยังคงเป็นภาพเดิมเพียงแต่เก่าขึ้น ความเชื่อที่ทำให้ความสัมพันธ์นอกขนบไม่เกิดขึ้นแม้ผ่านเวลา การสืบทอดแบบนี้เป็นจุดหนึ่งของการทำให้อีกกี่ชาติ ภพ ก็จะไม่มีวันได้รักของตนกลับมา แผลจะเป็นแผล ความเจ็บปวดจะเลี้ยงตัวเองตลอดกาล ความรักของภพกับหลิวอาจต้องรอนานถึงชาติหน้า
ภาพประกอบ : คำม่วนสตูดิโอ, CJ MAJOR Entertainment