อี ไอแซค จอง ผู้กำกับที่อยู่เบื้องหลังการผลัดเปลี่ยนและเติบโตใน Minari
- Minari มินาริ ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของครอบครัวชาวเกาหลีใต้ที่ได้หอบเอาความหวังไปตั้งรกรากในอเมริกา แต่ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ถาโถมตลอดทาง
- Minari เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ในความคิดของผู้กำกับชาวเกาหลีใต้-อเมริกัน อี ไอแซค จอง (Lee Isaac Chung)
- Minari ได้เข้าชิง 6 รางวัลบนเวทีออสการ์ ครั้งที่ 93 ซึ่งจะประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 เมษายน 2564
“Minari Minari…Wonderful Wonderful” ท่วงทำนองอุ่นใจนี้คอยวนเวียนอยู่ในหัวตลอดช่วงเวลาหนึ่งหลังจากได้ดู Minari มินาริ ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของครอบครัวชาวเกาหลีใต้ที่ได้หอบเอาความหวังไปตั้งรกรากในอเมริกา แต่ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาสั่นคลอนความหวังอยู่ตลอดทาง
มินาริ เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ในความคิดของผู้กำกับชาวเกาหลีใต้-อเมริกัน อี ไอแซค จอง (Lee Isaac Chung) ที่ว่า “หากเขาสามารถทิ้งเรื่องไว้ให้ลูกสาวอ่านได้เพียงเรื่องเดียว เรื่องนั้นจะเกี่ยวกับอะไร ?” และความครุ่นคิดนี้ทำให้เขาลงไปนั่งในความทรงจำของตัวเองสมัยที่อายุเท่าลูกสาว ซึ่งพอได้ทบทวนดูก็พบว่านี่อาจจะเป็นเรื่องที่เขาอยากถ่ายทอดมาโดยตลอด
ถึงอย่างนั้น อี ไอแซค จอง ก็ไม่ได้ต้องการให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพียงบันทึกชีวิตส่วนตัวของเขา จึงเลือกกลั่นกรองบางเสี้ยวบางมุมของตัวเองไปปะติดปะต่อกับสิ่งที่เขาเฝ้าดูคนในชีวิต ด้วยความตั้งใจให้แต่ละตัวละครน่าจดจำในแบบของตัวเอง เช่นการปลุกปั้น เดวิด (รับบทโดย อลัน เอส. คิม) ตัวละครที่เป็นศูนย์รวมความแสบสไตล์เด็กผู้ชาย ทั้งยังมีความโกรธและกดดันจากการปรับตัวในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ
“การปั้นตัวละครเดวิด ผมใช้สองสิ่งด้วยกัน อย่างแรกคือความทรงจำตอนที่ผมรู้สึกกลัว ตื่นเต้น และอยากรู้อยากเห็นแบบเด็ก ๆ อย่างที่สองคือ สิ่งที่ผมได้จากการเฝ้าดูลูกสาวตัวเองเติบโต ได้เห็นว่า เธอรับมือกับเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในชีวิตอย่างไร เดวิดกลายมาเป็นส่วนผสมระหว่างสิ่งที่ผมอยากบอกกับตัวเองและสิ่งที่ผมอยากบอกกับลูกสาว” จองกล่าว
แม้จะเป็นเรื่องแต่ง แต่เรื่องราวของมินาริเปรียบเสมือนสายตาที่จองมีต่อพ่อแม่ของเขา และสายตาที่เขามีต่อลูกสาวของตัวเอง โดยที่จองหวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นทั้งการคารวะพ่อแม่ที่กรุยหนทางอเมริกันชนไว้ให้เขา รวมถึงพ่อแม่ทุกคนที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของลูก และยังเป็นของขวัญให้ลูกสาวของเขาเองในตอนที่เธอโตพอจะเข้าใจได้
นอกจากชีวิตวัยเด็กในความทรงจำ อีกหนึ่งแรงบันดาลใจของจองที่ทำให้เกิดมินาริขึ้น คือวรรณกรรมอเมริกัน โดยเฉพาะผลงานของ แฟลนเนรี โอคอนเนอร์ (Flannery O’Connor) ที่ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตชนบททางตอนใต้ บอกเล่าประเด็นเรื่องความศรัทธาและความยากลำบากของชีวิตออกมาได้เบาสมอง ไม่ตึงเครียดจนเกินไป จองกล่าวว่า “สิ่งที่ผมชอบในงานของโอคอนเนอร์คือ ตัวละครที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกอึดอัดที่สุดมักเป็นตัวละครที่นำเสนอทางออกของปัญหา” ซึ่งสิ่งนี้มีส่วนช่วยให้จองประกอบสร้างตัวตนของ ซุนจา (รับบทโดย ยุนยอจอง) คุณยายที่เป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของเรื่อง
นอกจากนั้นเขายังได้อ่านผลงานของ วิลลา คาเธอร์ (Willa Cather) นักเขียนหญิงชาวอเมริกันและได้พบเจอกับประโยคที่ว่า “สำหรับฉัน ชีวิตเริ่มต้นเมื่อฉันเลิกชื่นชมงานคนอื่น และเริ่มจดจำเรื่องราวของฉันเอง” การรับรู้เรื่องราวของคาเธอร์ผ่านการอ่าน จึงถือเป็นอีกหนึ่งแรงผลักสำคัญสำหรับจองด้วยเช่นกัน
“คาเธอร์เป็นนักเขียนในช่วงต้นทศวรรษที่ 1900 เดิมทีเธอเขียนหนังสือเกี่ยวกับสังคมชั้นสูงในนิวยอร์ก ซึ่งผมคิดว่าเธอยังไม่ได้รู้สึกพึงพอใจกับมันนัก จนเมื่อถึงวันที่เธอได้รับคำแนะนำจากคนหนึ่งว่าให้เธอลองเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง และเธอก็ไปได้ดีหลังจากเริ่มต้นเขียนเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กที่เคยอาศัยและเติบโตในรัฐเนแบรสกา (Nebraska)”
เมื่อย้อนกลับไปเส้นทางอาชีพในสายภาพยนตร์ของจองก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเช่นเดียวกัน แม้ว่าเขาจะโตมาในไร่เล็ก ๆ ที่เมืองลินคอล์น รัฐอาร์คันซอ แต่ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกเขาไปถ่ายทำในรวันดา (ภรรยานักศิลปะบำบัดของเขาเดินทางไปรวันดาในฐานะอาสาสมัคร) ภาพยนตร์ Munyurangabo (2007) บอกเล่าเรื่องราวมิตรภาพของเด็กชายสองคนที่มาจากต่างเผ่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำในเวลาแค่เพียง 11 วัน โดยใช้นักแสดงท้องถิ่น กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ใช้ภาษาคินยาร์วันดา ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก ต่อเนื่องมาถึงมินาริ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญที่เขาเลือกทำสิ่งที่ต่างออกไป ซึ่งจองกลั่นกรอง แต่งเติมและหลอมรวมสิ่งต่าง ๆ มาจากในตัวเขาและผู้คนที่พบเจอในชีวิต ภายใต้แนวความคิดที่ว่า “หนังยิ่งเล่าแบบจริงใจมากเท่าไหร่ มันยิ่งมีความหมายมากเท่านั้น”
หลังจากภาพยนตร์ออกฉาย Minari ได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลก และติดโผบนเวทีรางวัลทั้งการเข้าชิงและรับรางวัลบนเวทีใหญ่มากมาย อาทิ เข้าชิง 3 รางวัลใหญ่บนเวที SAG AWARDS รวมทั้ง 8 รางวัลจากนักวิจารณ์วอชิงตัน และรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมบนเวทีลูกโลกทองคำ ซึ่งล่าสุด Minari ได้เข้าชิง 6 รางวัลบนเวทีออสการ์ ครั้งที่ 93 ซึ่งจะประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 เมษายน 2564 นี้โดยหนึ่งในสาขาที่เข้าชิงคือ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม
มินาริ ผักพื้นบ้านของเกาหลีซึ่งตามทฤษฎีจะเติบโตงอกงามหลังจากผลัดใบครั้งแรก ทฤษฎีนี้จะช่วยเล่านิยามของเรื่องราวในภาพยนตร์ได้หรือเปล่า เราคงต้องลองไปพิสูจน์กันเอง
อ้างอิง
Fact File
- ภาพยนตร์ Minari มินาริ เปิดฉายรอบพิเศษ 25-28 มีนาคม 2564 รอบเวลา 19:00 น. เข้าฉายจริงวันที่ 1 เมษายน 2564 ในโรงภาพยนตร์