“จิม วอร์นีย์” นักดำน้ำกู้ภัยแห่งเขานางนอนกับบทบาทนักแสดงใน The Cave
Faces

“จิม วอร์นีย์” นักดำน้ำกู้ภัยแห่งเขานางนอนกับบทบาทนักแสดงใน The Cave

Focus
  • จิม วอร์นีย์ (Jim Warny) เป็นนักแสดงนำภาพยนตร์ นางนอน (The Cave) ภาพยนตร์เรื่องยาว (feature film) เรื่องแรกที่เกี่ยวกับเหตุการณ์กู้ภัยทีมหมูป่าติดถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน 
  • ในภาพยนตร์นางนอน จิม วอร์นีย์ รับบทเป็นตัวเองซึ่งก็คือนักดำน้ำชาวเบลเยียม ผู้อาศัยอยู่ในไอร์แลนด์ เขาเป็นหนึ่งในทีมนักดำน้ำสำรวจถ้ำจากสหราชอาณาจักร (British Cave Rescue Council) ที่มาร่วมเป็นทีมกู้ภัยพาเด็กทีมหมูป่าและโค้ชออกจากถ้ำหลวง เขาคือคนที่อุ้มโค้ชเอกออกมาจากถ้ำ
  • การตัดสินใจมาช่วยกู้ภัย มาด้วยใจ แต่ไม่ใช่การตัดสินใจเลือกเอง ช่วงเวลาในถ้ำ สิ่งแรกคือความกลัว ต้องวัดใจและวัดตัวตนที่แท้ของตัวเอง

“ ใช่ พวกเขาสร้างปัญหาเยอะ แต่การที่พวกเขาเข้าไปในถ้ำและทำอะไรที่มันเป็นการผจญภัย และตลอดสถานการณ์ยุ่งยากนี้ โค้ชเอกของเด็กๆ ถือเป็นฮีโร่ตัวจริงเลย เพราะในสถานการณ์แบบนั้น ผมเองก็ได้แค่จินตนาการว่า พวกเขาอยู่รอดมาได้อย่างไร กับการติดอยู่ในถ้ำมืดๆ เป็น 10 วันแบบนั้น โดยไม่มีอาหาร มีน้ำสะอาดแค่น้อยนิด และถือว่าเด็กๆ ทุกคนในทีมหมูป่าสุดยอดมากที่เผชิญกับสถานการณ์นี้และรอดมาได้  มันก็ใช่ที่พวกเขารนหาที่เอง แต่อย่าลืมว่าพวกเขาเป็นเด็ก เด็กก็คือเด็ก”

ผมไม่ได้มองตัวเองเป็นฮีโร่ ผมเป็นแค่คนที่มีทักษะเฉพาะ และผมก็โชคดีที่คนได้รู้เห็นความสามารถอันนั้น และผมรู้สึกมีอภิสิทธิ์มากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมกู้ภัย เพราะมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของมนุษย์ที่พวกเราจากทั่วโลกมารวมกันช่วยเด็กเหล่านั้นออกมาจากถ้ำได้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ต้องแชร์”

จิม วอร์นีย์,นักดำน้ำ และนักแสดง The Cave

เหตุการณ์เด็กนักเรียนทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมีและโค้ชของพวกเขาติดอยู่ในถ้ำหลวงนานเป็นสัปดาห์ ณ ดอยนางนอน จังหวัดเชียงราย ภาคเหนือของประเทศไทย ดึงความสนใจจากสื่อต่างๆ และกลายเป็นภารกิจ mission possible รวมผู้คน ผู้เชียวชาญ เจ้าหน้าที่ และจิตอาสาจากทั่วโลก   การเดินทางมาตามภารกิจเรียกร้องของนักดำน้ำคนนี้ที่ทำให้เขาได้เห็นมิติที่พลิกชีวิตจากคนธรรมดาที่หลงใหลถ้ำมาสู่แสงสปอตไลต์เช่นกัน

Sarakadee Lite  ชวน จิม วอร์นีย์  รำลึกถึงนาทีสำคัญที่ใครๆมองว่าเป็น ฮีโร่ และบทบาทใหม่ในฐานะพระเอกหนัง เมื่อเขาออกตัวว่า “ผมไม่ใช่ฮีโร่ ผมแค่โชคดีทีคนได้เห็นความสามารถของผม”  

Sarakadee Lite : คุณเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้อย่างไร

JW : ผมเป็นนักดำน้ำสำรวจถ้ำ อาศัยอยู่ที่ไอร์แลนด์ ผมมีงานประจำอยู่แล้ว เป็นช่างไฟ งานดำน้ำกู้ภัยในถ้ำไม่ใช่อาชีพหลักของผมเลย เป็นแค่งานอดิเรกและความชอบส่วนตัว ตอนที่เกิดเรื่องผมก็อยู่ไอร์แลนด์ ดูข่าวถ้ำหลวงเหมือนคนอื่นๆ แบบเกาะติด อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วผมก็เห็นมีเพื่อนนักดำน้ำชาวอังกฤษบริติช (จาก British Cave Rescue Council) ถูกส่งมาช่วยที่เมืองไทย แล้วบ่ายวันศุกร์สดใสวันหนึ่ง ผมก็เห็นนักดำน้ำเหล่านั้นโพสต์ออนไลน์ ผมก็เลยส่งข้อความแสดงความห่วงใยให้พวกเขาระวังตัว และถ้าต้องการความช่วยเหลือ ผมพร้อมเสมอ เรียกได้เลย จากนั้นแป๊บเดียวก็ได้รับข้อความว่าให้ผมเตรียมตัว และวันรุ่งขึ้นผมก็บินมาเมืองไทย

Sarakadee Lite : ตอนไหนที่เป็นจุดสำคัญให้คุณตัดสินใจว่าคุณต้องมาร่วมภารกิจกู้ภัยที่เมืองไทย

JW : ผมไม่ได้ตัดสินใจเอง แต่ผมถูกเรียกตัวมาให้ช่วย เพื่อนนักดำน้ำกู้ภัยจากอังกฤษบอกว่าต้องการความช่วยเหลือจากผม ต้องการคนที่เคยดำน้ำด้วยกัน ผมก็เลยตัดสินใจแบบไม่รีรอ ครอบครัวของผมก็เชื่อมั่นในสิ่งที่ผมทำ และผมก็เชื่อว่าเพื่อนร่วมงานที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องการความช่วยเหลือจากผม และผมว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำด้วย

Sarakadee Lite : แล้วพอคุณมาถึงถ้ำหลวง สิ่งที่คุณคาดคิดไว้กับสิ่งที่คุณได้เจอจริง มันเป็นอย่างไร

JW : ตอนแรกผมมีภาพที่สับสนว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในถ้ำหลวง เพราะมีข่าวออกสื่อมากมาย ข่าวเยอะมาก แต่ไม่มีใครรู้สิ่งที่เกิดขึ้นข้างในจริงๆ และเราไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ไม่รู้จะเตรียมตัวเจออะไร และคุณต้องนึกภาพแผนผังภายในถ้ำมันเป็นยังไง ผมได้ข้อมูลแค่คร่าวๆ เพราะคนในเหตุการณ์ก็วุ่นกับภารกิจสำคัญ มีอย่างอื่นที่ต้องทำ ผมก็เลยรู้แค่ว่า นี่นะฝนตกหนัก และนี่คืออุปกรณ์ที่คุณจำเป็นต้องใช้ เพราะฉะนั้นตอนแรกที่มาถึง ผมก็ได้เห็นแผน และได้ข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วรู้สึกโล่งใจไปมาก ที่ได้รู้ข้อมูลข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ ก่อนจะลงมือ พอจ่าแซม (นาวาตรี สมาน  กุนัน) เสียชีวิต ก็เกิดความกังวลกันว่าอาจมีคนเสียชีวิตเกินจำเป็น

Sarakadee Lite : คุณมาถึงถ้ำหลวง หลังจากจ่าแซมเสียชีวิตแล้วใช่ไหม 

JW : ใช่ ผมรู้ตัวว่าจะต้องมาเมืองไทย วันเดียวกับที่จ่าแซมเสียชีวิต

Sarakadee Lite : ถ้ามองย้อนกลับไป ตอนนั้นทุกคนคิดว่ามันเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ มันยากมากที่จะรอด สำหรับตัวคุณตอนนั้นคิดยังไง คิดว่ารอดไหม

JW : ใช่ มันมีซีนาริโอที่ว่า มันคือเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีคนติดถ้ำเป็นเด็ก 13 คน อยู่ในถ้ำที่ถูกน้ำปิดกั้นทางเข้า เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน การจะเข้าไปช่วยคนเหล่านั้นออกมาไม่ง่าย พวกเราจึงคิดแผนในกรณีที่อาจเกิดเหตุร้ายสุดๆ (worst scenario) และเราจำเป็นต้องมีกระบวนการปฏิบัติการภายนอกถ้ำ และวางแผนสำหรับสิ่งที่อาจไม่ล่วงรู้ ซึ่งต้องขอบคุณทุกคนในทีม ทั้งทีมนักดำน้ำกู้ภัยที่มีประสบการณ์สำรวจถ้ำ และนำมาใช้ให้มันเกิดความสำเร็จขึ้นได้  เพราะเวลาไปสำรวจถ้ำ คุณก็จะวางแผนรับมือกับสิ่งที่ไม่รู้ล่วงหน้า และการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงและอันตราย คุณจะสามารถจัดการในตอนหน้าสิ่วหน้าขวานจากประสบการณ์ และมีสมาธิจดจ่อกับการช่วยชีวิตของคนได้

Sarakadee Lite : ครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่ยากที่สุดที่คุณเคยเจอเลยหรือไม่

JW : แน่นอน มันซับซ้อนและลำบากที่สุด เพราะว่าสภาพแวดล้อมในถ้ำมันแตกต่างมากกับสภาพที่เราคุ้นเคยในถ้ำที่ไอร์แลนด์และถ้ำที่ยุโรป เพราะที่นั่นมันอากาศหนาวเย็นกว่ามาก และการกู้ภัยในถ้ำนี้มันมีทางแคบมาก สภาพเหล่านั้นในถ้ำหลวงแย่มากๆ และเคสนี้มันยากตรงที่เด็กๆ ไม่มีใครว่ายน้ำเป็นและไม่ใช่นักสำรวจถ้ำเลย

Sarakadee Lite : คุณจำความรู้สึกตอนที่อยู่ในถ้ำระหว่างทางก่อนที่จะเข้าถึงตัวเด็กๆ ได้ไหม

JW : จำได้สิ ผมพยายามเก็บอารมณ์และจดจ่อกับภารกิจเบื้องหน้า

Sarakadee Lite : เป็นความรู้สึกแบบไหน

JW : ก็รู้สึกกลัว แต่คุณมีความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง คุณต้องพยายามตั้งสมาธิกับงานของคุณ และเตรียมเจอความเสี่ยง อันตรายต่างๆ ที่ต้องรับมือ แต่ต้องไม่วู่วามทำอะไรก่อนที่มันจะเกิดจริง

Sarakadee Lite : ความเป็นทีมเยี่ยมยอดมากใช่ไหม

JW : ใช่ครับ มันเป็นทั้งทีมเวิร์ก การทำงานเยี่ยมมากของแต่ละคน พอเราอยู่ในถ้ำ มันก็คือตัวคนเดียว คุณต้องดูแลตัวเองได้ และบางครั้งก็ทำงานร่วมกับทีม ซึ่งทำให้เรารอดมาได้

Sarakadee Lite : ช่วยเล่าวินาทีที่คุณอุ้มเด็กออกมาจากถ้ำ ตอนนั้นเป็นอย่างไร

JW : ช่วง 2 วันแรก ผมเป็นแค่นักดำน้ำทีมเสริม (support diver) ผมจะประจำการอยู่ที่จุดที่ต้องดำน้ำกลับ  ช่วงกั้นกลางระหว่าง section ที่เด็กๆ หลบภัยอยู่ และพอเห็นเด็กๆ ดำน้ำออกมาได้ มันมีความรู้สึกโล่งใจว่าระบบต่างๆ เวิร์ก หน้ากากดำน้ำใช้งานได้ เด็กๆ หายใจได้สะดวก และพาถึงปลายทาง ตอนที่นำตัวเด็กๆ ออกมาตอนที่พวกเขาหลับ ซึ่งการดำน้ำพาคนที่หลับ มันไม่มีอะไรรับประกันว่ามันจะเวิร์ก และพอในวันที่ผมขยับมาเป็นนักดำน้ำตัวหลัก (lead diver) ความรู้สึกที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ตอนที่ผมจะต้องพาตัวเด็กออกมา มันเป็นความรู้สึกสุดๆ เป็นจุดสูงสุดในภารกิจที่คุณรอคอย พอเราเริ่มทยอยพาเด็กออกมาจากถ้ำ มันก็รู้สึกโล่งว่าทำสำเร็จตามแผน

Sarakadee Lite : จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่คุณเกี่ยวข้อง มีตอนไหนที่ประทับใจคุณที่สุด หรือตอนที่ลืมไม่ลงคือตอนไหน

JW : ก็คงเป็นตอนที่ทุกคนออกจากถ้ำได้อย่างปลอดภัย และแผนของเราสำเร็จ มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์มาก ตอนก่อนที่ผมจะเริ่มอุ้มโค้ชเอก (เอกพล จันทะวงษ์ ผู้ช่วยฝึกสอนทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี 1 ใน 13 คนที่ติดถ้ำ) ออกมา ตอนที่ผมรอ นั่งแช่อยู่ในน้ำ มันเป็นช่วงเวลาที่คุณได้รู้จักเนื้อแท้ตัวตน (true character)   ของตัวเองเลยแหละ  

Sarakadee Lite : เหตุการณ์นั้นมีผลต่อชีวิตคุณตอนนี้ยังไงบ้าง

JW : ผมต้องบอกว่ามันไม่เปลี่ยนตัวตนของผมหรอกนะ แต่ผมก็พยายามจะแบ่งปันเรื่องราวในส่วนของผมกับคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันก็เป็นเรื่องที่สอนว่าพอคุณเผชิญอุปสรรค เจอความหวาดกลัว ผมพยายามจะใช้เรื่องนี้ เรื่องการผจญภัยจะเป็นการผจญภัยเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ตาม ถ้าเจอความกลัวก็จงกล้าที่จะเผชิญมัน 

Sarakadee Lite : เหตุการณ์นี้ให้บทเรียนอะไรแก่คุณ

JW : มันทำให้ผมได้แบ่งปันความชอบในการสำรวจถ้ำกับคนอื่นมากกว่าเดิม เพราะตอนนี้ผมได้ขึ้นเวที ซึ่ง (เรื่องสำรวจถ้ำ) เป็นสิ่งสำคัญกับผมมาตลอด ก่อนผมจะได้ร่วมกับงานกู้ภัยครั้งนี้เสียอีก ตอนนี้ผมก็สามารถแชร์ทั้งเรื่องการกู้ภัย และเรื่องเทคนิคของการสำรวจถ้ำด้วย

Sarakadee Lite : ในชีวิตคุณตอนนี้อะไรเป็นสาระสำคัญที่สุด โดยเฉพาะหลังจากผ่านเหตุการณ์เสี่ยงต่อความเป็นความตายแบบนั้นมาแล้ว

JW : ลูกชายสำคัญมากสำหรับผม และผมอยากให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ

Sarakadee Lite : คุณได้รับการติดต่อให้มาแสดงหนังเรื่องนี้ได้อย่างไร

JW : ทอม วอลเลอร์ (ผู้กำกับการแสดง) อยู่ที่ไอร์แลนด์ตอนนั้น หลังจากผมกลับจากถ้ำหลวง เขาก็ส่งข้อความมาถามว่าผมสนใจไหม มาลองคุยไหม แล้วเราก็ไปเจอกัน ดื่มชาคุยกัน คุยเรื่องการกู้ภัยที่ถ้ำหลวง แล้วทอมก็เล่าแผนการทำหนังให้ฟัง ผมรู้สึกสบายใจได้คุยกับทอม เพราะเขามีภาพชัดเจนว่าต้องการทำอะไร และผมรู้สึกสะดวกใจกับวิธีการที่เขาจะถ่ายทอดเรื่องราวนี้ และผมก็ได้ร่วมทำตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่ขั้นตอนเขียนบท ตั้งแต่เริ่มวางแผนการถ่ายทำ และผมก็เล่นเป็นตัวเองในหนัง ทั้งหมดนั้นผมสามารถควบคุมองค์ประกอบในการที่จะถ่ายทอดเรื่องของตัวเองได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับผม

Sarakadee Lite :  คุณได้รับข้อเสนอหรือการติดต่อจากโปรดักชันหนังเรื่องอื่นไหม

JW : มีครับ มีกองถ่ายทำสารคดีติดต่อมา แต่นี่เป็นหนังบันเทิงเรื่องเดียวที่ผมเกี่ยวข้องด้วย

Sarakadee Lite : เหตุผลอะไรเป็นเหตุผลหลักในการตอบรับเล่นหนัง The Cave ทำไมคุณต้องเล่นหนังเรื่องนี้

JW : เพราะผมเชื่อใจในตัวทอม และแนวทางของเขาที่จะถ่ายทอดเรื่องราวนี้ อย่างที่มันเกิดขึ้นจริงๆ

มันไม่ใช่แนวที่จะปรุงแต่งเรื่อง หรือทำให้มันดูเวอร์วังเกินจริง หรือทำให้มันดราม่าเกินเหตุ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญสำหรับผม

Sarakadee Lite : คุณต้องกลับไปทำเลียนแบบ (re-enact) เรื่องราวเหตุการณ์อีกครั้ง

JW : ใช่ครับ ต้องกลับไปทำทุกอย่างที่เคยทำในเหตุการณ์จริง ภายในถ้ำหลวงจริง และมีนักแสดงเด็กๆ ที่เหมือนจริง และทำทุกอย่าง เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมด แบบสร้างสถานการณ์เลียนแบบของจริงขึ้นมาอีกครั้ง

Sarakadee Lite : งานนี้คุณต้องใช้ทักษะการแสดงด้วยใช่ไหม

JW : ก็ต้องทำตามบทที่เขียนไว้ แต่มันก็เป็นบทที่มาจากเรื่องจริง ซึ่งผมเคยผ่านมาจริงๆ ต้องบอกว่าเป็นการ re-enacting  ไม่ใช่การ acting

มันก็ใช่แหละที่บทสนทนายาว ผมต้องพูดให้ได้ตามบทที่เขียน ซึ่งเป็นความท้าทาย เพราะผมต้องเข้าฉากกับนักแสดงและผู้ร่วมแสดงคนอื่นด้วย แต่การลงไปดำน้ำ และงานเทคนิคอื่นๆ มันก็เป็นตามธรรมชาติที่ผมคุ้นเคยอยู่แล้ว การพูดสนทนากับการแสดงเข้ากับคนอื่นๆ เป็นสิ่งที่ตามมา

Sarakadee Lite : หลังจากเหตุการณ์นั้น คุณถูกมองเป็นฮีโร่ คุณคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่หรือเปล่า และตอนนี้คุณเป็นพระเอกในหนังด้วย คุณคิดอย่างไรกับประเด็นฮีโร่

JW : ผมไม่ได้มองตัวเองเป็นฮีโร่ ผมเป็นแค่คนที่มีทักษะเฉพาะ และผมก็โชคดี ที่คนได้รู้เห็นความสามารถอันนั้น และผมรู้สึกมีอภิสิทธิ์มากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมกู้ภัย เพราะมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของมนุษย์ที่พวกเราจากทั่วโลกมารวมกันช่วยเด็กเหล่านั้นออกมาจากถ้ำได้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ต้องแชร์ ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวที่ผมเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง และร่วมทำหนังเรื่องนี้ และไปบรรยายตามโรงเรียนต่างๆ ไปพูดให้คนจำนวนมากฟัง 

การได้ดำน้ำในถ้ำที่ไม่คุ้นเคย ได้บันทึกเรื่องราวถ้ำที่ไม่รู้จัก และได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ ให้ออกไปเจอประสบการณ์เอง ได้ชัยชนะต่อความท้าทายเล็กๆ ผมว่ามันสำคัญมากนะสำหรับคนในสังคมทุกวันนี้ เพราะมันง่ายเกินไป ที่คุณจะหลบอยู่หลังสมาร์ตโฟน อยู่แต่หน้าจอทีวี หลบอยู่ในกระดอง โลกแคบสังคมแคบๆ นั่น ขณะที่มันมีเรื่องราวอีกมากมายให้คุณออกไปค้นหาในโลกนี้ 

Sarakadee Lite : ชีวิตคุณเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างหลังเหตุการณ์ถ้ำหลวง และคิดว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไรหลังจากหนังเรื่องนี้ออกฉาย

JW : ไม่นะ ชีวิตผมก็เหมือนเดิม ผมก็กลับไปทำงานประจำตามปรกติ ผมก็ยังไปดำน้ำทุกวัน อาจจะมีคนรู้จักผมมากขึ้น ซึ่งหวังว่าจะรู้จักในทางที่ดี และก็หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ทำสิ่งมหัศจรรย์ด้วย

Sarakadee Lite : คุณคิดว่าในบรรดาสารคดีต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ถ้ำหลวง หรือข่าวต่างๆ ที่ออกไป ได้ให้ข้อคิดที่ดี หรือสาระสำคัญจริงๆ ของเหตุการณ์นี้หรือเปล่า

JW : ผมคิดว่าจากที่เผยแพร่ออกมายังไม่มีข่าวหรือสารคดีเรื่องไหนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงครบทั้งหมด เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดทุกอย่างได้หมด แม้กระทั่งหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้เล่าครบทุกมุม เพราะคุณไม่สามารถเล่าเรื่องของคน 3,000 คน ที่มาทำงานกู้ภัยถ้ำหลวงลงในหนังเรื่องเดียว หรือในสารคดีเรื่องเดียวได้ทั้งหมด มันทำได้ยากมาก

แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะมีมันสารคดีเรื่องราวของส่วนอื่นๆ ถูกทำออกมา เกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ มันคงมีอีกหลายมุมจากหลายคนที่มาแชร์ประสบการณ์นี้อีก

Sarakadee Lite : ก่อนที่คุณจะได้ร่วมในเหตุการณ์กู้ภัยถ้ำหลวง คุณรู้จักประเทศไทยหรือไม่อย่างไร และคุณคิดยังไงหลังจากนั้น

JW : ประเทศไทยสำหรับผมห่างไกล ผมไม่เคยมาเอเชียมาก่อนเลย มาครั้งแรกก็คือตอนมากู้ภัย แต่ผมรู้ดีว่าประเทศไทยเป็นปลายทางการท่องเที่ยวของทั่วโลก ผมก็ไม่ได้มีภาพชัดเจนว่าสังคมไทยเป็นอย่างไร และพอผมมาถึงภาคเหนือของไทย (เชียงราย) มันก็ชัดเจนมากว่า คนไทยเป็นมิตร และมีชีวิตชีวา และมีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากโลกตะวันตก ผมแปลกใจกับวัฒนธรรม  แปลกใจที่ได้เจอกับผู้คนที่ยินดีต้อนรับคนแปลกหน้าอบอุ่นแบบนี้

Sarakadee Lite : แล้วคุณคิดเห็นอย่างไรกับกระแสที่สังคมมีต่อเด็กๆ ทีมหมูป่าในเชิงลบ

เพราะบางคนคิดว่าเด็กเหล่านี้สร้างปัญหาให้คนมากมาย มีคนไทยที่คิดว่าเด็กๆ ไม่ควรจะได้รับการดูแลตอบแทนที่ดีขนาดนี้หลังจากสร้างปัญหาไปติดถ้ำแบบนั้น

JW : ใช่ พวกเขาสร้างปัญหาเยอะ แต่การที่พวกเขาเข้าไปในถ้ำและทำอะไรที่มันเป็นการผจญภัย และตลอดสถานการณ์ยุ่งยากนี้ โค้ชเอกของเด็กๆ ถือเป็นฮีโร่ตัวจริงเลย เพราะในสถานการณ์แบบนั้น ผมเองก็ได้แค่จินตนาการว่า พวกเขาอยู่รอดมาได้อย่างไร กับการติดอยู่ในถ้ำมืดๆเป็น 10 วันแบบนั้น โดยไม่มีอาหาร มีน้ำสะอาดแค่น้อยนิด

และถือว่าเด็กๆ ทุกคนในทีมหมูป่า สุดยอดมาก ที่เผชิญกับสถานการณ์นี้และรอดมาได้ 

มันก็ใช่ที่พวกเขารนหาที่เอง แต่อย่าลืมว่าพวกเขาเป็นเด็ก เด็กก็คือเด็ก

Sarakadee Lite : ย้อนกลับไปตอนเป็นเด็ก อะไรคือแรงผลักดันให้คุณมาเป็นนักดำน้ำ 

JW : จริงๆ ตอนแรกผมสนใจอุปกรณ์ดำน้ำ แล้วต่อมาก็เริ่มติดใจชอบการสำรวจถ้ำ 

Sarakadee Lite : ทำไมต้องเป็นถ้ำ

JW : เพราะมันเป็นบริเวณบนพื้นโลกที่ยังไม่ถูกค้นพบ และทางเดียวที่จะไปค้นพบ คือต้องไปสัมผัสมันด้วยตัวเอง คุณจะใช้กล้องส่องทางไกลมองทะลุถ้ำ หรือจะสแกนแล้วเห็นทะลุก้อนหินไม่ได้ มันเป็นสภาพแวดล้อมที่โหด แต่มันก็มีความสวยงามรออยู่

Sarakadee Lite : คุณมองอาชีพของตัวเองเปลี่ยนไปไหมหลังผ่านเหตุการณ์ถ้ำหลวง

JW : ไม่เลย ผมยังทำงานประจำเหมือนเดิม ดำน้ำสำรวจถ้ำก็เป็นแค่งานอดิเรก งานกู้ภัย และเหตุการณ์นี้อาจจะทำให้ผมเป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งมันเป็นความท้าทายส่วนตัวด้วยที่ผมจะต้องเรียนรู้ในการได้รับความสนใจ

Sarakadee Lite : คุณอยากได้อะไรในการเป็นนักดำน้ำ

JW : ผมอยากจะทำแผนที่ภายในถ้ำ และอยากจะสำรวจถ้ำต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และกลับมาแบ่งปันความรู้กับวงการสำรวจถ้ำ 

Sarakadee Lite : ตอนถ่ายทำหนัง The Cave คุณต้องกลับไปที่ถ้ำหลวงอีกครั้ง คุณมองมันต่างไปไหม และอยากจะสำรวจเพิ่มเติมถึงขั้นเขียนแผนที่ถ้ำหลวงเลยไหม

JW : ผมไม่ได้เจาะจงเฉพาะถ้ำหลวงนะ แต่การได้กลับไป ผมก็ได้เห็นความสวยงามของพื้นที่ทางภาคเหนือของไทยด้วย (เชียงราย) เป็นเมืองที่สวยจริงๆ 

Sarakadee Lite : หลังจากแสดงหนังเรื่องนี้แล้ว คุณอยากทำงานแสดงต่อไปหรือไม่ในอนาคต

JW : ก็อยากทำนะ ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับถ้ำ และเป็นแนวสารคดี ผมอยากทำแนวๆ นั้น เพื่อจะได้แบ่งปันประสบการณ์การผจญภัยที่เหลือเชื่อในการสำรวจถ้ำ

Sarakadee Lite : คุณได้ดูหนัง The Cave ฉบับสมบูรณ์หรือยัง และชอบไหม

JW : ได้ดูแล้วครับ และก็ชอบ รู้สึกภูมิใจกับผลงานมาก เพราะมันดูสมจริง และตรงกับเหตุการณ์จริง ถ่ายทอดเหตุการณ์ได้อย่างซื่อตรง

Sarakadee Lite : หลังจากคนได้ดูหนังเรื่องนี้ คุณอยากให้เขาได้อะไรกลับไป

JW : คนดูจะได้เห็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจุดน้ำท่วมในถ้ำ ซึ่งมันมีทั้งความสวยงามของพื้นที่และหวังว่าพวกเขาจะชอบมัน

Fact File

  • The Cave นางนอน  เป็นภาพยนตร์สร้างโดย บริษัท De Warren Pictures สัญชาติไทย เปิดฉายรอบปฐมทัศน์โลกที่เทศกาลหนังนานาชาติปูซาน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กำหนดฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วไปในไทยเป็นประเทศแรก เริ่ม 28 พฤศจิกายน 2562

Author

ทศพร กลิ่นหอม
นักเขียนสายบันเทิง สังคม ท่องเที่ยว และไลฟ์สไตล์ เคยประจำการอยู่ที่ เมเนจเจอร์ออนไลน์ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ และรายการ ET Thailand ปัจจุบันรับจ้างทั่วไป

Photographer

ชัชวาล จักษุวงค์
เคยเป็นนักรีวิว gadget มานานหลายปี ตอนนี้หันมาเอาดีด้านงานถ่ายภาพ ถนัดงานด้านการบันทึกภาพวิถีชีวิตผู้คนและสายการเดินทางท่องเที่ยว