คุณได้ยินฉันไหม : เสียงที่ปลุกคนทั้งโลกให้ตื่นจาก เกรต้า ธุนเบิร์ก
Faces

คุณได้ยินฉันไหม : เสียงที่ปลุกคนทั้งโลกให้ตื่นจาก เกรต้า ธุนเบิร์ก

Focus
  • คุณได้ยินฉันไหม หนังสือที่จะทำให้เห็นถึงพลังของคนรุ่นใหม่อันเปี่ยมล้นไปด้วยความหวังและความกล้าที่จะต่อสู้เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ โดย เกรต้า ธุนเบิร์ก
  • คุณได้ยินฉันไหม คือการผนวกรวมผลงานโดดเด่น 2 เล่มของ เกรต้า ธุนเบิร์ก และครอบครัวของเธอมาไว้ในเล่มเดียว 

คุณได้ยินฉันไหม หนังสือที่จะทำให้เห็นถึงพลังของคนรุ่นใหม่อันเปี่ยมล้นไปด้วยความหวังและความกล้าที่จะต่อสู้เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ ในเล่มนำเสนอเรื่องราวของเด็กสาวที่สร้างปรากฏการณ์ปลุกเพื่อนร่วมโลกให้ตื่น! และตระหนักรู้ถึงหายนะของปัญหาสภาพภูมิอากาศด้วยการหยุดเรียนและไปนั่งหน้ารัฐสภาสวีเดนในปี 2018 ซึ่งทำให้เหล่านักเรียนทั่วโลกหันมาร่วมแคมเปญ “Friday School Strikes” เรียกร้องให้เกิดการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศร่วมกันกับเธอ การออกมาประท้วงครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มที่ได้ทำให้ชื่อของ เกรต้า ธุนเบิร์ก กลายเป็นที่รู้จักระดับโลกในเวลาต่อมา

ความคุ้มค่าและน่าสนใจอย่างหนึ่งของ คุณได้ยินฉันไหม คือการผนวกรวมผลงานโดดเด่น 2 เล่มของ เกรต้า และครอบครัวของเธอมาไว้ในเล่มเดียว นั่นคือ No One is too Small to Make a Difference หนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่เกรต้าเขียนขึ้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับสุนทรพจน์ที่เธอได้เดินทางไปพูดในประเทศต่าง ๆ โดยไม่มีเครื่องบินเป็นพาหนะร่วมทางเลยสักครั้ง และ Our House is on Fire: Scenes of a Family a Planet in Crisis บันทึกความทรงจำที่เกรต้าร่วมเขียนกับครอบครัวซึ่งจะทำให้ผู้อ่านได้เห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิต เกรต้า ที่ใครหลายคนไม่เคยรู้มาก่อน และเรื่องราวของครอบครัวเกรต้าที่ต้องแบกรับทั้งความตึงเครียด เศร้าตรมและขื่นขมเสมอมา ทว่าเต็มไปด้วยความสวยงามของสำนวนภาษาที่อ่านเพลินเสมือนวรรณกรรม

เกรต้า ธุนเบิร์ก

ไม่มีเสียงไหนเบาเกินจะสร้างความเปลี่ยนแปลง

หลายคนคงคุ้นชื่อของ เกรต้า อยู่บ้าง เพราะเธอถือเป็นหนึ่งในไอคอนของคนรุ่นใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อต่าง ๆ และมากพอให้ในปี 2019 นิตยสาร Time ขนานนามให้เธอเป็นบุคคลแห่งปีซึ่งถือเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับเลือก ทั้งยังได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพอีกด้วย ผลงานของเกรต้าเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกตลอดระยะเวลาที่เธอออกมาเคลื่อนไหว บางคนอาจเข้าใจว่าเธอเริ่มต้นเรียกร้องให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาสภาพภูมิอากาศในปี 2018 แต่แท้จริงแล้ว เกรต้า ต้องใช้ความพยายามมากกว่านั้น เธอเริ่มสนใจปัญหาดังกล่าวตั้งแต่อายุ 9 ขวบและศึกษาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปัญหาสภาพภูมิอากาศตลอดมา กระทั่งเธออายุ 15 ปีจึงตัดสินใจออกมานั่งประท้วงที่หน้ารัฐสภาสวีเดนในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ.2018 ซึ่งทำให้ทุกคนได้ยินชื่อของเธอเป็นครั้งแรก

หนังสือเล่มนี้แบ่งเนื้อหาเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะเป็นการรวบรวมสุนทรพจน์ของเกรต้าที่ได้ขึ้นพูดในเวทีและสถานที่ต่าง ๆ โดยมีเนื้อความเน้นย้ำถึงตัวเลขและสถิติจำนวนไม่มากซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรรู้เพราะนี่คือผลลัพธ์ของการใช้ชีวิตอย่างปกติท่ามกลางภาวะไม่ปกติที่เกิดขึ้นทุกวินาทีบนโลกของเราเช่น เหลือโอกาสเพียง 67% ที่จะสามารถทำตามข้อตกลงปารีสเรื่องการควบคุมอุณหภูมิของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้ งบประมาณคาร์บอนที่ลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องและคาดว่าจะหมดลงในอีก 8.5 ปี จำนวนคาร์บอน 42 กิกะตันต่อปีที่เราร่วมกันปล่อยไปสู่โลก และยอดผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อมจำนวน 9,000,000 คนในปี 2017 ซึ่งการพูดถึงข้อมูลเหล่านี้ซ้ำ ๆ อาจดูจำเจสำหรับใครบางคน และเกรต้าเองก็เห็นด้วย โดยเธอกล่าวว่า “หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ มันควรจะน่าเบื่อ และคนอ่านแค่ต้องทนกับมัน”

แต่การที่ เกรต้า ยังคงต้องนำเสนอชุดข้อมูลเหล่านี้ในทุกเวทีที่เธอขึ้นพูดก็อาจชี้ให้เห็นว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่เคยรับรู้ถึงข้อมูลเหล่านี้มาก่อน และความเปลี่ยนแปลงรวมถึงการตระหนักถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นยังไม่มากพอ เธอจึงต้องพูดถึงข้อมูลเหล่านี้ต่อไป จนกว่าจะเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ที่คนทั่วโลกโดยเฉพาะนักการเมืองและนักธุรกิจที่สร้างเงินเป็นพันพันล้านจากการทำลายสิ่งแวดล้อมร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

และท่ามกลางข้อมูลที่เธอกล่าวซ้ำไปมาก็ได้แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เกรต้ากำลังพยายามสื่อสารให้ทุกคนรับรู้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน คุณสามารถจดจำตัวเลขเหล่านี้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ และเช่นเดียวกันหนังสือเล่มนี้จะทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าการขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวในวันหยุด หรือการกินเนื้อล้วนเป็นกระบวนการที่เพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้มีจำนวนสูงขึ้น และทวีความรุนแรงของวิกฤตสภาพภูมิอากาศให้ยับยั้งได้ยากขึ้นด้วย

แม้เนื้อหาของสุนทรพจน์จะไม่หนีห่างจากตัวเลขเชิงสถิติซึ่งมาจากรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC แต่สิ่งที่ช่วยขจัดความจำเจของข้อมูลเหล่านี้ คือความกล้าและความโกรธของเธอที่ถ่ายทอดผ่านทุกตัวอักษรออกมาอย่างแจ่มชัด เกรต้า ย้ำเสมอว่าทุกคนควรรับรู้และปฏิบัติกับปัญหาสภาพภูมิอากาศให้สมกับที่เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติต้องเผชิญ 

“ฉันอยากให้คุณลงมือทำเหมือนว่าไฟกำลังไหม้บ้านของเรา เพราะมันกำลังลุกไหม้จริงๆ”

นี่เป็นหนึ่งข้อความที่เธอกล่าวอยู่เสมอ และหนึ่งในสุนทรพจน์ที่สร้างสีสันให้แก่หนังสือเล่มนี้ไม่น้อยคือคำพูดของเธอที่กล่าวในการประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 24 ซึ่งเป็นที่มาของประโยค “How dare you?” ที่ทำให้ภาพสีหน้าและแววตาแห่งความโกรธของเกรต้าในวันนั้นกลายเป็นภาพไวรัลในโซเชียลมีเดีย และถ้าหากได้อ่านเนื้อหาของสุนทรพจน์นี้คุณก็จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมเกรต้าโกรธได้ถึงเพียงนั้น 

หลังม่านแห่งโรงละครของครอบครัวธุนเบิร์ก

เนื้อหาในส่วนที่สองของเล่มเป็นเรื่องราวเชิงอัตชีวประวัติของครอบครัวเกรต้า ที่มีความพิเศษเพราะมีผู้ร่วมเขียนคือ มาเลน่า แอร์นแมน (Malena Ernman) สแวนเต้ ธุนเบิร์ก (Svante Thunberg) และ บีเอต้า แอร์นแมน (Beata Ernman) ซึ่งเป็นครอบครัวของเธอ เนื้อหาในส่วนนี้จะทำให้คุณได้รู้จักเกรต้าอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ได้รู้ว่าเธอมีแม่เป็นนักร้องโอเปร่าชื่อดังผู้ชนะการประกวดเมโลดีเฟสติวัลเลนซึ่งเป็นรายการโทรทัศน์ประจำปีที่ใหญ่ที่สุดของประเทศแถบสแกนดิเนเวีย พ่อของเธอเป็นนักแสดง ส่วนบีเอต้าคือน้องสาวคนเดียวของเกรต้าที่ชอกช้ำกับชะตากรรมไม่แพ้เธอ

สแวนเต้ อาร์เรเนียส (SvanteArrhenius) ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี1903 และค้นพบปรากฏการณ์เรือนกระจกเป็นญาติห่าง ๆ ของเธอและทำให้รู้ว่าเกรต้ามีอาการแอสเพอร์เกอร์ซินโดรม (Asperger Syndrome) ซึ่งเป็นอาการในกลุ่มออทิสติก โดยผู้ที่มีภาวะนี้มีพัฒนาการแทบไม่ต่างจากเด็กปกติ แต่อาจบกพร่องเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมีความสามารถสูงเป็นพิเศษในบางเรื่อง แม้อาการดังกล่าวจะทำให้เธอถูกโจมตีจากคนบางกลุ่ม แต่เกรต้ากลับมองว่านี่คือพรสวรรค์ที่เธอได้รับ และทำให้เธอสามารถเรียนรู้และจดจำข้อมูลเกี่ยวกับนิเวศวิทยาจนเชี่ยวชาญซึ่งทำให้เธอกลายเป็นกระบอกเสียงด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญคนหนึ่งในทุกวันนี้

แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้อัดแน่นไปด้วยตัวเลขและข้อมูลทางสถิติรวมถึงความรู้เกี่ยวกับปัญหาสภาพภูมิอากาศอย่างแท้จริง ทว่าในระหว่างบรรทัดหนังสือเล่มนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากอย่างยิ่งยวดที่ เกรต้า และครอบครัวของเธอต้องเผชิญ ทั้งหมดคือความเสี่ยงและภาระที่เธอต้องแลกเพื่อร้องเรียกสปอตไลต์ให้ฉายแสงมายังต้นตอของปัญหา การเป็นไอคอนระดับโลกในสายตาใครหลายคนคือละครหน้าฉากที่เกรต้าพยายามต่อสู้และแสดงออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อหวังให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ส่วนหนึ่งของหนังสือได้คลี่คลายเบื้องหลังของเกรต้าให้ทุกคนได้เห็น คุณจะได้พบกับความทุกข์โศกของแม่และพ่อของเกรต้าในยามที่เธอมีอาการกินผิดปกติและหยุดกินในที่สุด จนยาต้านซึมเศร้าแทบจะกลายเป็นสิ่งสามัญประจำครอบครัวของเธอ ความเป็นมนุษย์ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสัตย์จริงผ่านเนื้อหาในส่วนนี้ เกรต้าคือเด็กคนหนึ่งที่มีอาการแอสเพอร์เกอร์ เธอไม่สันทัดกับการเข้าสังคม แต่เธอเลือกจะทิ้งความรู้สึกเหล่านี้ไว้ข้างหลัง และเดินออกไปสู่สายตาของคนทั่วโลก เธอยืนให้สัมภาษณ์หน้ากล้อง ตอบคำถามสื่อมวลชนและผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้ารัฐสภาสวีเดนอยู่ 3 สัปดาห์ แม้บางวันจะต้องแอบมาหลบหลังเสาเพื่อร้องไห้กับการฝืนภาวะปกติของตนเอง แต่เกรต้าก็เลือกที่จะยืนหยัดต่อไปด้วยหัวใจที่เข้มแข็งแม้ข้างในของเธอจะแตกสลายก็ตาม

การนำเสนอข้อมูลเรื่องปัญหาสภาพภูมิอากาศของ เกรต้า อาจทำให้ใครหลายคนมองว่าเธอเป็นพวกสุดโต่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือเกรต้าไม่ใช่ผู้ค้นพบสิ่งใดเธอเพียงนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ออกมานำเสนอเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริงไม่ใช่เพียงรับรู้ถึงการมีอยู่และเมินเฉยเสมือนว่าเรามีโลกอยู่ 4 ใบให้อยู่อาศัย หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเสมือนประโยคบอกเล่าที่บางครั้งอาจมีอารมณ์คุกกรุ่นแฝงอยู่ด้วยในน้ำเสียง เพราะมูลเหตุจากความโกรธที่เด็กรุ่นเธอต้องถูกผู้ใหญ่ขโมยอนาคตไป และฝากความหวังให้พวกเธอเป็นคนแก้ไขปัญหาที่คนรุ่นก่อนได้สร้างไว้

คุณได้ยินฉันไหม อาจจะไม่สามารถทำให้ผู้อ่านผันตัวเป็นนักเรียกร้องเพื่อสิ่งแวดล้อมได้ในทันที แต่ก็อาจทำให้ใครบางคนฉุกคิดมากขึ้นกับการจองตั๋วเครื่องบิน การเดินชอปปิงในวันหยุด หรือขณะที่กำลังเคี้ยวเนื้อสัตว์ แม้พฤติกรรมเหล่านี้จะไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แก้ไขปัญหาได้สำหรับเกรต้า แต่อย่างน้อยที่สุดการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ได้ทำให้คุณเข้าใกล้สภาพความเป็นจริงของวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากขึ้น ได้รับรู้ว่าปัญหาสภาพภูมิอากาศคือหายนะไม่ใช่เพียงคำบอกเล่าและการวาดฝันถึงโลกที่ยั่งยืนซึ่งไม่อาจเกิดขึ้นได้หากเรายังใช้ชีวิตเช่นเดิม และการรู้สึกผิดก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดของปัญหานี้เพราะนั่นไม่ทำให้วิกฤตครั้งนี้บรรเทาลงแม้แต่น้อย แต่ความเปลี่ยนแปลงและเริ่มปฏิบัติกับวิกฤตนี้ให้สมกับที่เป็นวิกฤตต่างหากคือสิ่งที่ เกรต้า พยายามเรียกร้องเสมอมา

Fact File

  • คุณได้ยินฉันไหม เขียนโดย เกรต้า ธุนเบิร์ก ร่วมกับ มาเลน่า แอร์นแมน, สแวนเต้ ธุนเบิร์ก และบีเอต้า แอร์นแมน แปลโดย จินดารัตน์ ธรรมรงวุทย์ สำนักพิมพ์อมรินทร์ฮาวทู ราคา 355 บาท

Author

วรลดา ถาวร
นักอ่านมือสมัครเล่น ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นคนที่ตื่นมาเขียนงานได้ทุกวันและเฝ้ารอการค้นพบ