5 วรรณกรรมแห่งอักษร ภาพสะท้อนชีวิต เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์
- เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ (Ernest Hemingway) เกิดเมื่อ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2442 เขาเป็นนักเขียนเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี ค.ศ. 1954 และผู้ทรงอิทธิพลทางวรรณกรรมของศตวรรษที่ 20
- เฮมิงเวย์มีเอกลักษณ์ในการเขียนโดยใช้ภาษาเรียบง่าย กระชับ ตรงไปตรงมา และเดินเรื่องอย่างรวดเร็ว เฉกเช่นหนังสือทั้ง 5 เล่มนี้ที่บ่งบอกพัฒนาการต่างๆทั้งชีวิต วรรณกรรม และความคิดของเฮมิงเวย์ได้เป็นอย่างดี
เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ (Ernest Hemingway) นักเขียนเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี ค.ศ. 1954 และเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางวรรณกรรมของศตวรรษที่ 20 งานของเฮมิงเวย์มีเอกลักษณ์ตรงที่ใช้ภาษาเรียบง่าย กระชับ ตรงไปตรงมา และมีการเล่าเรื่องรวดเร็ว ซื่อตรงกับความหมายที่กำลังเล่า และส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าก็มักแปรมาจากความทรงจำ จินตนาการ ประสบการณ์ส่วนตัวเจือลงไปในงานเขียนชิ้นต่างๆ
ผลงานที่เด่นของ เฮมิงเวย์ อย่างหมวดนวนิยายเล่าได้เสมือนเฉือนประสบการณ์ สิ่งที่เขาประสบ มาผสมกับจินตนาการในการก่อสร้างเรื่องแต่งขึ้นมาใหม่ บ่งบอกถึงสายตาและการมองโลกของเฮมิงเวย์ได้อย่างชัดเจน
และหากวรรณกรรมคือการบรรจุชีวิตจิตใจบางส่วนของ เฮมิงเวย์ Sarakadee Lite จึงขอพาไปรู้จักตัวตน ชีวิต และสายตาของ เฮมิงเวย์ ผ่านงานวรรณกรรมของเขาอีกสักครั้ง
By-Line (บาย-ไลน์)
ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เฮมิงเวย์ วัยหนุ่มผู้รักการผจญภัยมักจะพาตนไปอยู่ในที่ที่เขาคิดว่าท้าทายเสมอ (ในช่วงวัย 17 ปีเขาเคยออกจากบ้านไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองและเลี้ยงชีพด้วยการเขียนข่าวมาแล้ว) และในช่วงสงครามเขาจึงก้าวเข้าสู่ความท้าทายใหม่โดยเข้าร่วมกับกองทัพอเมริกา แท้จริงเขาอยากเข้าร่วมรบเป็นทหารแต่เนื่องจากมีปัญหาด้านสายตาทำให้เฮมิงเวย์ได้เข้าร่วมเป็นทหารที่รับหน้าที่ขับรถพยาบาล (ค.ศ. 1918) แต่แล้วเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องออกจากสงครามก็เกิดขึ้นท่ามกลางสมรภูมิเมืองมิลาน เขาได้รับบาดเจ็บจากระเบิดทำให้ต้องพักรักษาตัวจากบาดแผลที่รุนแรงถึงขั้นทำให้เข้าต้องกลับมาพักรักษาอาการบาดเจ็บที่บ้าน จุดนี้เอาทำให้เขาได้เริ่มการเป็นนักเขียนเพราะหลังจากเป็นทหาร เฮมิงเวย์ก็ได้มีโอกาสเขียนบทความสารคดีที่ The Toronto Daily Star
บทความสารคดีเหล่านั้นเป็นการเขียนที่ก่อร่างสไตล์งานทางวรรณกรรมให้เฮมิงเวย์ ซึ่งต่อมาได้นำมาตีพิมพ์รวมเป็นเล่มชื่อ By-Line (บาย-ไลน์) ซึ่งผู้อ่านที่อ่านงานรวมเล่มสารคดีชิ้นแรกๆ ในชีวิตนักเขียนอย่างเป็นทางการของเฮมิงเวย์ชิ้นนี้จะได้เห็นโลกผ่านสายตาของนักเขียนหนุ่มหลังสงคราม โดยใช้วิธีการเขียนที่สั้นกระชับ เล่าเรื่องชัด เดินเรื่องเร็ว ซึ่งทักษะสารคดีเหล่านี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่เขาเคยเขียนเชิงข่าว และนำการเขียนเชิงข่าวนั้นมาประกอบกับการถ่ายทอดงานเขียนเชิงสารคดี เมื่อทักษะการเล่าเรื่องกระชับพบกับประสบการณ์ชีวิต By-Line จึงสำคัญในแง่ของการเป็นร่องรอยของวิธีทางวรรณกรรมที่กำลังจะพัฒนาต่อไปเป็นเอกลักษณ์นวนิยายแบบฉบับเฮมิงเวย์
A Moveable Feast (ฤกษ์งามยามปารีส)
ปารีสเป็นเมืองที่เฮมิงเวย์ประทับใจอย่างมาก เขาเคยกล่าวถึงปารีสไว้ว่า
“ถ้าคุณโชคดีพอที่จะได้อาศัย ณ ปารีสในวัยหนุ่ม จากนั้นไม่ว่าชีวิตคุณจะอยู่ที่ไหน ปารีสจะเป็นเสมือนศิริมงคลที่ติดตามสถิตประทับไว้กับคุณ”
แม้ A Moveable Feast (ฤกษ์งามยามปารีส) เป็นงานที่เฮมิงเวย์เขียนในปี ค.ศ. 1964 แต่งานชิ้นนี้เป็นงานเขียนเชิงรำลึกความทรงจำ (Memoir) ถึงความทรงจำของเขาเองในช่วงทศวรรษที่ 20 ถึงห้วงเวลาสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตช่วงที่เป็นนักเขียนไร้ชื่อเสียงในมหานครซึ่งเต็มไปด้วยนักเขียนโด่งดังมากมาย อย่าง เอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ (F. Scott Fitzgerald) เจมส์ จอยซ์ (James Joyce) และนักเขียนร่วมยุคอีกมากมาย ประกอบกับสถานการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้มีกลุ่มนักเขียนอเมริกันจำนวนหนึ่งเดินทางเข้ามาในปารีส ทำให้ปารีสเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยนักเขียนและแรงบันดาลใจทางความคิดหมุนเวียนกันอยู่ในแวดวงวรรณกรรม
ในA Moveable Feast เล่มนี้เฮมิงเวย์เขียนบันทึกชีวิตคู่รักระหว่างเขากับ แฮดลีย์ริชาร์ดสัน (Hadley Richardson) ภรรยาที่ร่วมพักอาศัยกันในปารีสช่วงวัยหนุ่มสาว ซึ่งตรงกับยุคสมัยอันวุ่นวายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นยุคที่สังคมดูไม่มั่นคง ยุ่งเหยิง และไร้ทิศทาง จนเรียกกันว่าเป็น รุ่นของการสาบสูญ(Lost Generation)
ในวรรณกรรมเชิงอัตชีวประวัติเล่มนี้ผู้อ่านจึงได้เห็นโลกในสายตานักเขียนหนุ่มผู้ตั้งใจจะเขียนงานวรรณกรรมในโมงยามที่โดดเดี่ยว ร่าเริงสลับกับสิ้นหวังเป็นพัก ๆ ในห้วงเวลาที่แรงบันดาลใจจากเมืองและผู้คนคัดง้างกับสภาพสังคมหลังสงคราม A Moveable Feast จึงเป็นวรรณกรรมที่งดงามกับชีวิตรักหนุ่มสาว และทำให้เห็นว่าสำหรับ เฮมิงเวย์ แล้วไม่ว่าจะโมงยามไหนสิ่งที่สำคัญสำหรับเขาคือ การมีชีวิตเพื่อที่จะเขียนและเขียน
The Sun Also Rises (หัวใจโลกีย์)
ค.ศ.1926 นวนิยายเล่มนี้เป็นเล่มที่ทำให้ รุ่นของการสาบสูญ เป็นที่รู้จักมากขึ้นผ่านวรรณกรรมด้วยวลีอมตะที่ยืนยันจากปลายปากกาของเฮมิงเวย์ว่า “You are all a lost generation”
The Sun Also Rises ได้ขยายประเด็น รุ่นของการสาบสูญ ผ่านสายตาของหนุ่มรักการผจญภัยซึ่งก็มีบางส่วนเขานำตัวตนและประสบการณ์ของเขาใส่ลงไป อาทิ การชอบดูการสู้กระทิง เที่ยวเตร่เป็นนักดื่มตัวยง หรือความสนใจในการชกมวย เรียกได้ว่านวนิยายเล่มนี้เป็นเครื่องยืนยันการมองโลกแบบบุรุษเจ้าสำราญของเฮมิงเวย์ที่ผจญภัยไปในสภาพสังคมหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่วงที่เศรษฐกิจยุโรปถดถอย นวนิยายเรื่องนี้จึงเล่าประสบการณ์ของตัวละครหนุ่มเจ้าสำราญที่ไปมีประสบการณ์น่าตื่นเต้นเคล้าความรักในประเทศฝรั่งเศสและสเปน
เฮมิงเวย์ได้ใช้ภาษาและการเล่าเรื่องที่รวดเร็ว เดินหน้าเหตุการณ์มากกว่าการให้น้ำหนักกับอารมณ์หรือภาษาที่หวือหวา ทำให้ The Sun Also Rises ได้สะท้อนภาพ รุ่นของการสาบสูญจากการที่ผู้อ่านจะได้ติดตามตัวละครที่เดินทางไปเรื่อยๆอย่างสับสน ยุ่งเหยิง เสมือนไร้จุดประสงค์ ชีวิตหนุ่มสาวที่เคลื่อนไปกับเรื่องราวต่างๆราวกับความหมายของการมีชีวิตอยู่ถูกเบลอและทำให้เลือนลางโดยยุคสมัยที่ว่างเปล่าสาบสูญ
A Farewell to Arms (รักระหว่างรบ)
เรื่องนี้เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1929 นวนิยายที่มีน้ำหนักของการเขียนที่ใส่ตัวตนของเฮมิงเวย์ลงไปเช่นเคยและดูจะหนักมือในการเล่าเรื่องที่มาจากประสบการณ์ครั้งที่ไปร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของเฮมิงเวย์ และนั่นทำให้ A Farewell to Armsเป็นนวนิยายในรูปแบบเรื่องแต่งและมีส่วนประกอบบางส่วนที่ทำให้นึกถึงการเขียนเชิงอัตชีวประวัติ เพราะนวนิยายเล่มนี้เน้นความสมจริงของสงครามจากสายตาเฮมิงเวย์ที่มีความรู้จากประสบการณ์จริงอย่างเต็มเปี่ยมจนกลายเป็นความสมจริงแบบที่ไม่พาฝัน ผู้อ่านจะเสมือนเป็นประจักษ์พยานของสมรภูมิสงครามในลีลาการเขียนที่เล่าเรื่องเรียบง่าย ใช้ภาษาไม่หวือหวาและดำเนินเรื่องรวดเร็วเช่นเคย นวนิยายเล่มนี้เป็นเล่มสำคัญในแง่ชั้นเชิงทางวรรณกรรมด้วยรูปแบบและวิธีการเขียน
เฮมิงเวย์เคยกล่าวถึงนวนิยายเล่มนี้ว่าเขาได้เขียนให้คำต่างๆ มีจังหวะและถ่ายทอดสำนึกทางจินตนาการ โดยใช้คำให้มีจังหวะการเปล่งน้ำหนักและสัมพันธ์กันเปรียบได้กับการประพันธ์ดนตรีของ โจฮาน เซบัสเตียนบัค (Johann Sebastian Bach) และการใช้ภาษาในเล่มนี้ก็จะมีความเคลื่อนไหวของตัวละครเอก ไม่ว่าจะเสียงความคิด บทสนทนา โดยจังหวะและการออกแบบองค์ประกอบคำนึงถึงความสมจริงจากประสบการณ์ร่วมสงครามของเฮมิงเวย์เองนวนิยายเล่มนี้จึงน่าสนใจในแง่ของการพัฒนาและออกแบบการทำงานวรรณกรรมของเฮมิงเวย์ แน่นอนว่าสงครามแห่งโศกนาฏกรรมของมนุษย์ก็เต็มเปี่ยมอยู่ในนวนิยายเล่มนี้เช่นกัน
The Old Man and the Sea (เฒ่าผจญทะเล)
The Old Man and the Sea เป็นนวนิยายของ เฮมิงเวย์ ที่ได้รับความนิยมในไทยอย่างมากเล่มหนึ่ง ปัจจุบันถูกแปลเป็นภาษาไทยแล้วไม่ต่ำกว่า 3 สำนวน The Old Man and the Sea (เป็นนวนิยายที่ถูกเขียนขึ้นในปี ค.ศ.1952 และได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer Prize)ในปี ค.ศ.1953
เนื้อเรื่องว่าด้วยชายชราผู้ที่แทบหาปลาใหญ่ไม่ได้มาเป็นเวลานาน แต่อยู่มาวันหนึ่งเขาได้พบกับปลากระโทงยักษ์ นวนิยายเล่มนี้หากอ่านติดต่อกันภายในทีเดียวจบจะได้พบกับการต่อสู้อันทรหดด้วยกำลังของชายชราผู้ที่ไม่ทดท้อต่ออุปสรรคและกำลังอันมหาศาลของปลากระโทงยักษ์ จนท้ายที่สุดสิ่งสำคัญคือการยืนหยัดที่จะอดทนต่อสู้กับแรงมหาศาลของทั้งปลาและท้องทะเล
ความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ท้าทายกับการผจญภัยต่าง ๆ เป็นเอกลักษณ์หนึ่งที่เป็นภาพจำของเฮมิงเวย์ในครั้งนี้สิ่งที่มนุษย์ในนิยายสู้ไม่ใช่สงครามหรือวิถีชีวิตดังเล่มที่ผ่านๆมา แต่เป็นการสู้กับความท้าทายเพราะเมื่อมนุษย์ลงไปในทะเลผืนน้ำนั้นไม่ใช่แผ่นดินและไม่ใช่ที่ของมนุษย์ มนุษย์ที่จะยืนหยัดสู้เจ้าทะเลอย่างปลาใหญ่ในผืนน้ำนั้นย่อมต้องเป็นผู้กล้า ดังประโยคยอดนิยมของนวนิยายเล่มนี้ที่ว่า
“ชายผู้ที่สามารถถูกทำลายได้ แต่จะไม่พ่ายแพ้”
ช่วงสุดท้ายของชีวิตเฮมิงเวย์ได้เข้ารับรักษาอาการซึมเศร้า จนในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ.1961 เฮมิงเวย์ในวัย 62 ปี เลือกที่จะดับชีวิตของตนในบ้านพักด้วยปืนลูกซอง จากเหตุที่เขาพบว่าตนเองไม่สามารถจัดการกับงานเขียนของตนต่อไป โดย เอ.อี.ฮอชเนอร์ (A. E. Hotchner) ได้เล่าถึงข้อสังเกตที่มีต่อเฮมิงเวย์ในวาระสุดท้ายไว้ว่าเขาดูลังเลผิดปกติและสับสนอย่างไม่เป็นระบบระเบียบ รวมถึงเป็นทุกข์วิตกกังวลเกี่ยวกับสายตาที่แย่ลง
การตายของ เฮมิงเวย์ จากการไม่สามารถเขียนหนังสือต่อไปได้จึงเสมือนเป็นอุปมาวรรคทองของนวนิยาย The Old Man and the Sea (เฒ่าผจญทะเล) เล่มนี้เพราะ เฮมิงเวย์ ก็อาจถูกทำลายได้แต่เขาไม่สามารถพ่ายแพ้ได้เช่นกัน
ภาพ : Encyclopaedia Britannica
อ้างอิง
- Addiction the Enigma of Stigma, Cesar Fabiani.Xlibris .2015
- https://www.britannica.com/biography/Ernest-Hemingway
- https://bit.ly/32u0iHi
- https://www.sm-thaipublishing.com/product/25366/by-line
- https://www.britannica.com/topic/Lost-Generation
- https://www.happyreading.in.th/article/detail.php?id=427