เปลี่ยนป้อมและอดีตค่ายกักกันในมอนเตเนโกร เป็นรีสอร์ตหรู Mamula Island Resort
- ป้อมปราการโบราณบนเกาะมามูลาในประเทศมอนเตเนโกรซึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ถูกใช้เป็นค่ายกักกันคุมขังเชลยกว่า 2,000 คน กำลังถูกพลิกโฉมให้กลายเป็นรีสอร์ตสุดหรู
- โครงการนี้ถูกคัดค้านจากกลุ่มประชาชนโดยเฉพาะญาติของอดีตเชลย แต่ทางฝั่งรัฐบาลเห็นควรให้มีการปรับปรุงเป็นรีสอร์ตแทนการปล่อยให้รกร้าง
- รีสอร์ตได้ก่อสร้างแกลเลอรีเพื่อเป็นอนุสรณ์กับประวัติศาสตร์อันเลวร้ายและคาดว่าจะเปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้ในช่วงปลายปี 2566
ป้อมปราการโบราณบนเกาะมามูลา (Mamula Island) ในประเทศมอนเตเนโกร (Montenegro) ซึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางกองทัพฟาชิสต์ของผู้นำอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) ได้ใช้เป็นค่ายกักกันคุมขังเชลยกว่า 2,000 คน กำลังถูกพลิกโฉมครั้งใหญ่ให้กลายเป็นรีสอร์ตระดับไฮเอนด์ มามูลา ไอซ์แลนด์ รีสอร์ต ( Mamula Island Resort ) โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2566 ท่ามกลางเสียงคัดค้านและเห็นด้วย
มามูลา ไอซ์แลนด์ รีสอร์ต (Mamula Island Resort) เป็นที่พักในกลุ่ม Design Hotels ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวโคเตอร์ (Bay of Kotor) ของทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) โดยได้มีการบูรณะและปรับปรุงป้อมปราการที่สร้างเมื่อ พ.ศ.2395 โดย นายพลลาซาร์ มามูลา (Lazar Mamula) ชาวออสเตรีย-ฮังการี เพื่อป้องกันการบุกรุกทางทะเลของศัตรูให้เป็นรีสอร์ตสุดหรูด้วยจำนวนห้องพัก 32 ห้องในสนนราคาตั้งแต่ 20,000 บาทจนถึง 200,000 บาทต่อคืน (ราคาเปลี่ยนแปลงตามฤดูการท่องเที่ยว) ครบครันด้วยห้องอาหาร บาร์ สระว่ายน้ำ และสปาสุดหรู
เกาะเล็กๆ ที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยแห่งนี้เดิมมีชื่อว่า ลัสตาวิกา (Lastavica) และได้เปลี่ยนชื่อเป็นเกาะมามูลาเพื่อเป็นการยกย่องนายพลมามูลาผู้สร้างป้อมปราการ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มุสโสลินีผู้นำฟาสซิสต์ของอิตาลีได้เปลี่ยนป้อมแห่งนี้ให้เป็นค่ายกักกันเชลยกว่า 2,000 คน และมีรายงานว่ามีผู้ถูกทรมานและถูกประหารชีวิตกว่า 80 คน และอีกประมาณ 50 คนเสียชีวิตจากความอดอยากในค่ายกักกันที่เลวร้าย หลังจากนั้นป้อมแห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้างเป็นเวลากว่า 70 ปี จนกระทั่งพ.ศ.2559 ทางรัฐบาลมอนเตเนโกรได้อนุมัติให้บริษัท Orascom Development Holding เช่าป้อมปราการแห่งนี้เป็นเวลา 49 ปีและลงทุนด้วยงบประมาณราว 15 ล้านยูโร (ประมาณ 540 ล้านบาท) เพื่อบูรณะและปรับปรุงเป็นรีสอร์ตระดับไฮเอนด์
การพลิกโฉมสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันเลวร้ายให้กลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจชั้นนำ Mamula Island Resort ย่อมนำมาซึ่งความเห็นที่แตกต่างกัน กลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะญาติของอดีตเชลยที่เคยถูกคุมขังในป้อมแห่งนี้ได้ออกมาคัดค้านการตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้ หนึ่งในนั้นคือ โอลิเวียร์ ดอคเลสติค (Olivera Doklestic) ซึ่งปู่ พ่อ และลุงของเธอเคยถูกคุมขังในค่ายกักกันนี้ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว AFP เมื่อเดือนมกราคมพ.ศ. 2559 ว่า
“การสร้างโรงแรมหรูเพื่อความบันเทิงในสถานที่ที่ผู้คนจำนวนมากถูกฆ่าตายและถูกทารุณเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายและขาดความตระหนักถึงประวัติศาสตร์ ป้อมแห่งนี้ควรได้รับการบูรณะและเปิดเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์สำหรับสาธารณชนมากกว่า ไม่มีค่ายกักกันที่ไหนในโลกที่ปรับเปลี่ยนเป็นโรงแรม”
ส่วน โอลิเวียร่า บราโชวิค (Olivera Brajovic) หัวหน้าฝ่ายพัฒนาการท่องเที่ยวของรัฐบาลให้สัมภาษณ์กับ AFP เช่นกันและแย้งว่า “เรากำลังเผชิญกับสองทางเลือก คือ จะปล่อยให้สถานที่แห่งนี้รกร้างทรุดโทรมและกลายเป็นซากปรักหักพัง หรือเราควรจะหานักลงทุนที่เต็มใจจะบูรณะและพลิกฟื้นให้เป็นสถานที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว”
บริษัท MCM Architecture & Design เป็นผู้ดูแลด้านสถาปัตยกรรมในการปรับปรุงเป็นรีสอร์ตโดยคงจุดเด่นของสถาปัตยกรรมทรงโค้งของป้อมซึ่งตามคติความเชื่อในอดีตนั้นการสร้างทรงโค้ง หรือ arch เปรียบเสมือนธรณีประตูเชื่อมระหว่างเวลาและพื้นที่ แต่ในการออกแบบสมัยใหม่เป็นการเปิดพื้นที่เพื่อให้เห็นทัศนียภาพและท้องฟ้ามากยิ่งขึ้น และรูปทรงโค้งนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้บริษัท weStudio Berlin ซึ่งรับผิดชอบด้านออกแบบตกแต่งภายในได้ออกแบบเฟอร์นิเจอร์เป็นพิเศษสำหรับรีสอร์ต เช่น เก้าอี้ โต๊ะ โคมไฟ บานกระจก และหัวเตียง และสร้างสรรค์โดยศิลปินท้องถิ่น นอกจากนี้พาเลตสีที่ใช้ยังได้รับอิทธิพลจากสีของป้อมปราการ สีของทองเหลืองโบราณ และสีของธรรมชาติจากท้องทะเลและท้องฟ้า
Mamula Island Resort แบ่งห้องพักเป็น 4 ประเภท คือ Garden, Sea, Sky และ Panoramic. ห้องแบบ Garden และ Panoramic อยู่ในฝั่งที่ต่อเติมขึ้นใหม่ด้วยหน้าต่างบานใหญ่จากพื้นจดเพดานและเทอเรซส่วนตัว ส่วนห้องจูเนียร์สวีต Sea และห้องสวีต Sky อยู่ในป้อมปราการ และผู้เข้าพักจะได้เห็นสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมทั้งหน้าต่างและพื้นหิน และบางห้องยังจะเห็นลายปูนปั้นเดิมที่ประดับบนฝ้าเพดาน
ห้องอาหารมีทั้งหมดสามห้องโดยห้องที่เป็นไฟน์ไดนิงตั้งอยู่บนสุดของปีกด้านตะวันตกของป้อมโดยได้เชฟ Erica Archambault ผู้เคยทำงานที่ร้านอาหารมิชลินในปารีสชื่อ Septime มารังสรรค์เมนู ส่วนชั้นบนของปีกฝั่งตรงข้ามเป็นบาร์สุดหรูขนาด 24 ที่นั่ง นอกจากนี้ยังมีสระว่ายน้ำ 3 แห่ง และสปาซึ่งตั้งอยู่ในอาคารหลักของป้อม สิ่งที่น่าสนใจยังประกอบไปด้วยห้องขนาด 64 ตารางเมตรที่เรียกว่า Atelier Mamula สำหรับเป็นที่ทำงานของโครงการศิลปินในพำนัก (Artist-in-residence program) และห้องสตูดิโอขนาด 112 ตารางเมตรสำหรับจัดกิจกรรมเวิร์กช็อป ฉายภาพยนตร์และแสดงดนตรี เป็นต้น
เพื่อเป็นการรำลึกถึงประวัติศาสตร์การใช้ป้อมเป็นค่ายกักกันในช่วงสงครามโลก ทางรีสอร์ตได้ก่อสร้างแกลเลอรีเพื่อเป็นอนุสรณ์กับเหตุการณ์ในครั้งนั้นและคาดว่าจะเปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้ในช่วงปลายปี 2566
Fact File
อ้างอิง