MALEE BREW & BLOOM คาเฟ่กึ่งแกลเลอรี ที่สื่อสารความฝันด้วยงานดอกไม้
- MALEE BREW & BLOOM นำเอาแรงบันดาลใจจากงานจัดดอกไม้มาแปลงเป็นคาเฟ่กึ่งแกลเลอรี ตั้งอยู่ในตึกเก่าสี่แยกบ้านหม้อ
- MALEE BREW & BLOOM ก่อตั้งโดย ภาคภูมิ แก้วดวงดี นักจัดดอกไม้ที่เคยฝากผลงานไว้ใน Vouge Thailand รวมทั้งการจัดดอกไม้งานแต่งงาน และงานพิธีการต่างๆ
“ถ้าเราทำแล้วมันไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ในเมื่อฉันมาที่นี่ ฉันมากรุงเทพฯ ฉันก็มาแค่ตัว ถ้ามันจะไม่สำเร็จก็แค่กลับ”
แม้การได้ทำในสิ่งที่รักคือปลายทางของหนุ่มสาววัยทำงาน แต่อย่างที่รู้กันว่าการคิดจะเปิดร้านอาหาร คาเฟในฝันสักหนึ่งแห่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะเงินทุน โอกาส จังหวะ และการฝึกฝนทักษะความชำนาญ นั่นจึงทำให้หลายคนเลือกที่จะเก็บกอดแพชชั่นไว้เป็นเพียงความฝัน ทว่าสำหรับ บอส-ภาคภูมิ แก้วดวงดี กลับคิดว่าเมื่อโอกาสและจังหวะที่จะได้ทำตามฝันนั้นมาถึงและอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิต เขาจึงตัดสินใจทุ่มหมดหน้าตัก นำเงินเก็บเท่าที่มนุษย์ออฟฟิศกินเงินดือนคนหนึ่งจะหามาได้ เปิดคาเฟ่ในตึกเก่าสี่แยกบ้านหม้อชื่อ MALEE BREW & BLOOM นำเอาแรงบันดาลใจจากงานจัดดอกไม้ที่เขารัก มาแปลงเป็นงานศิลปะจากดอกไม้ในแพทฟอร์มต่างๆ รวมทั้งอาหารและเครื่องดื่ม
เมื่อดอกไม้ผลิบานในต่างถิ่น
“งานดอกไม้ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย บายศรี เย็บใบตอง เป็นสิ่งที่เราซึมซับจากคุณยายมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด อยู่ชัยภูมิก็จะมีงานบุญงานประเพณีตลอดทั้งปี คุณยายก็จะพาไปช่วยงานทำดอกไม้ พวงมาลัย งานดอกไม้ประดิษฐ์ต่างๆ โดยมีเพื่อนๆ คุณยายช่วยสอน ก็ทำมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชอบ แค่ซึมซับ แล้วก็รู้สึกว่าฉันทำได้ แค่นั้น พอมาถึงช่วงประถม มัธยมก็เริ่มมีรายได้จากการจัดดอกไม้ ใครจะทำงานดอกไม้ประดิษฐ์ เรียกไปช่วยจัดดอกไม้ก็จะนึกถึงเรา แต่ก็ไม่เคยคิดว่าการจัดดอกไม้จะเลี้ยงชีพได้ ตอนเข้ามหาวิทยาลัยจึงเลือกเรียนสถาปัตยกรรม และการทำดอกไม้ก็หยุดไป”
บอส ย้อนถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาผูกพันกับดอกไม้ และเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาก็เลือกทำงานประจำที่บริษัทสถาปนิก ในกรุงเทพฯ และแทบจะลืมการจัดดอกไม้ไปแล้ว แต่ความไม่คุ้นชินในกรุงเทพฯ คือเหตุผลที่ทำให้บอสได้กลับมาจับงานจัดดอกไม้อีกครั้ง
“บอสทำอาชีพประจำด้านการออกแบบตกแต่งภายในอยู่ 7 ปี ระหว่างนั้นเราก็ทำอาชีพเสริมคือจัดดอกไม้ควบคู่กันด้วย ตอนได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ใหม่ เราไม่คุ้นชินกับสังคมกรุงเทพฯ มันรู้สึกทุกข์นะ ก็เลยต้องหาสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากความรู้สึกทุกข์ตอนนั้น ก็เลยกลับมาทำงานดอกไม้ ทำเสร็จก็ถ่ายรูปลงในอินสตาแกรมตัวเอง แล้วก็เริ่มมีฟีดแบค มีคนชอบ ก็เลยลองเปิดอินสตาแกรมใหม่ชื่อ thelegendbouquet ที่ลงรูปดอกไม้อย่างเดียว ซึ่งปรากฏว่าสามารถสร้างรายได้เสริมให้เราได้ ก็เลยทำเป็นงานเสริมมาตลอด 7 ปี ทั้งจัดดอกไม้ ร้อยพวงมาลัย ร้อยบายศรี เย็บแบบ ทำงานฝีมือ แกะสลัก แนวสากลก็ทำ”
สำหรับผลงานที่ผ่านมาของบอสนั้นสายแฟชั่นอาจจะเคยได้เห็นกันบ้าง เพราะเคยสร้างสรรค์งานและตีพิมพ์ใน Vogue Thailand นอกจากนี้บอสเองยังจัดดอกไม้สำหรับงานแต่งงาน โดยที่มีคาเรกเตอร์ชัดเจนคือ ความเป็นไทยที่ไม่เชย
“ดอกรัก บานไม่รู้โรย ดอกพุด ดอกไม้ไทยๆ พวกนี้เราจะใช้บ่อย เพราะเราตั้งใจแต่แรกแล้วว่าเราอยากทำให้งานดอกไม้ไทยไม่เชย งานดอกไม้ไทยก็โมเดิร์นได้ ดอกไม้ไทยหาง่าย ราคาไม่ได้แพงมาก เราเลยอยากทำให้คนหันมาใช้ดอกไม้ไทยกันมากขึ้น”
เปลี่ยนแยกบ้านหม้อเป็นทุ่งดอกไม้
ดูเหมือนว่าการทำงานประจำที่ค่อนข้างมั่นคงและทำมายาวนานถึง 7 ปี บวกกับอาชีพเสริมด้านการจัดดอกไม้ถือว่าตอบโจทย์การได้ทำสิ่งที่ชอบได้ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่สำหรับบอสเองเขาคิดว่าเขาไม่ควรหยุดแค่นั้น เขาอยากจะเติบโตในเส้นทางของดอกไม้ที่ชัดเจนกว่านี้ เขาเลยวางโปรเจ็กต์ไว้ว่า ก้าวต่อไปที่ต้องเดินคือการมีร้านดอกไม้เป็นของตัวเอง เพื่อที่จะเต็มที่กับงานจัดดอกไม้ได้มากขึ้น แต่ก็ไม่คิดว่าจังหวะของความฝันจะมาเร็วพร้อมๆ กับการเริ่มต้นระบาดของโควิด-19 เมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา
“เราก็ค่อยๆ มองหาทำเลมาเรื่อยๆ ก็ยังไม่เจอ กระทั่งคืนหนึ่งเราผ่านตรงสี่แยกบ้านหม้อ แล้วตึกที่เคยเป็นร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าเขาหมดสัญญา เขาก็เอกพวกป้ายที่เคยล้อมตึกออก เราก็เพิ่งรู้ว่าตึกนี้คือตึกเก่าที่มีโครงสร้างสวยเลย ใช่เลย นี่คือตึกที่เรากำลังตามหา คืนนั้นกลับไปก็กระวนกระวายนอนไม่หลับ ไม่รู้เขาให้เช่าต่อยัง ตึกเป็นของใคร เช้ามาก็รีบตามหาเจ้าของตึก แล้วก็เอาโปรเจ็กต์ที่เราอยากทำไปนำเสนอเขา เอาผลงานดอกไม้ที่เราเคยทำไปให้เขาดู และทางเจ้าของก็อนุญาตให้เราใช้พื้นที่ คือจังหวะทุกอย่างมันลงตัวมากๆ ก็เลยทุ่มหมดหน้าตัก เอาเงินเก็บที่ทำงานมาทำร้านโดยไม่ลังเล เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสที่ลงตัวแบบนี้อีกเมื่อไหร่”
และเมื่อถามต่อถึงความลังเลในการเปลี่ยนจากพนักงานประจำที่มีเงินเดือนมั่นคงทุกเดือน มาเป็นเจ้าของธุรกิจที่กำลังตัดสินใจเปิดร้านในช่วงที่หลายธุรกิจร้านอาหาร คาเฟ่กำลังถอนตัวเพราะผลกระทบจากโควิด-19 บอสตอบทันทีเลยว่า สำหรับโปรเจ็กต์ MALEE BREW & BLOOM เขาขอเดินหน้าแบบดับเครื่องชน
“พอมาเจอโควิด บอสกับแฟนก็ทิ้งงานประจำกันเลย ตอนนั้นมีเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกว่าถึงเวลาที่เราจะต้องออกมาดูแลชีวิตของตัวเองด้วยตัวเองแล้ว ก็เลยตัดสินใจออกจากงานประจำ เรียกว่าสวนกระแสดับเครื่องชน เอาเงินเก็บที่มีออกมาทำร้าน เหตุผลหนึ่งเพราะเราได้ตึกนี้ด้วย แล้วเราไม่รู้ว่าถ้าไม่ใช่ตึกนี้แล้ว เราจะมีโอกาสจะได้ทำเมื่อไหร่ พื้นที่ใช้สอยดี ตึกสวย อยู่ในย่านเก่าด้วย ก็ตัดสินใจทำที่นี่ในชื่อ MALEE BREW & BLOOM เป็นทั้งคาเฟ่ ร้านจัดดอกไม้ เราดูงานดอกไม้ แฟนดูแลเรื่องอาหาร เครื่องดื่ม และในอนาคตก็จะมีเพื่อนๆ มาร่วมแจมในส่วนของเวิร์คช็อป”
เปิดประตู MALEE BREW & BLOOM เข้ามาจะพบกับทุ่งดอกไม้เล็กๆ สำหรับถ่ายรูป มุมจัดดอกไม้สำหรับออร์เดอร์งานต่างๆ และเคาน์เตอร์เครื่องดื่มซึ่งดูแลโดย ปาล์ม-ณัทพงษ์ ลีละวัฒนพันธ์ ซึ่งก็ทิ้งงานประจำในธุรกิจท่องเที่ยวเกี่ยวกับ Destination Management Center มาร่วมสร้างโปรเจ็กต์ Malee Brew and Bloom เช่นกัน
“ปาล์มออกจากงานประจำประมาณกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก่อนที่เราจะเริ่มต้นทำร้านนี้ ตอนแรกก็คิดว่าเราอิ่มตัวกับงานด้านการท่องเที่ยว ขอลาออกมาก่อน พักสักเดือน แล้วค่อยหาแพชชั่นใหม่ๆ ในการทำงาน ถัดมามีนาคม โควิดระบาดหนักพอดี ธุรกิจหลายอย่างก็ชะงัก เราก็หยุดชะงักยาวเลย และพอบอสมาบอกว่าเขามีไอเดียว่าจะทำร้านแบบนี้ ปาล์มก็บอกเอาเลย แล้วก็ใช้เวลาว่างตอนโควิดคิดในส่วนของเมนูเครื่องดื่มอาหารที่จะเสิร์ฟ ซึ่งก็จะลิงค์กับแพชชั่นหลักของร้านนั่นก็คือ เรื่องดอกไม้”
ปาล์มให้รายละเอียดของเครื่องดื่มที่ลูกค้าจะได้กรุ่นกลิ่นของดอกไม้ผสมอยู่ในแทบทุกแก้ว ไม่ว่าจะเป็นซิกเนเจอร์ดริงค์อย่าง Into the wood ที่นำชากุหลาบ มาเติมด้วยความสดชื่นของมะม่วง ราสเบอร์รี่ ใบชาเขียว น้ำผึ้ง และกาแฟโคลด์บริว ส่วน Bangkok Sunshine ก็ใช้ไซรัปพีชมาเข้าคู่กับลิ้นจี่ เลม่อน สปาร์คกลิ้ง และเอสเพรสโซ สื่อถึงภาพจำความเป็นเมืองร้อนของกรุงเทพฯ ในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ หรืออย่าง สปาร์คกลิ้งโรสแมคคีอาโต ก็ไม่ทิ้งความหอมของดอกกุหลาบ เช่นกัน
ในส่วนของงานดอกไม้นั้นที่นี่ให้บรรยากาศเหมือนเดินเข้าแกลเลอรีอาร์ตมากกว่าเข้ามานั่งในร้านดอกไม้หรือคาเฟ่ เพราะตลอดทางขึ้นชั้น 2 ซึ่งเป็นโซนที่นั่งในร้าน บอสได้นำดอกไม้มาจัดวางด้วยเทคนิคต่างๆ ทั้งดอกไม้สด ดอกไม้แห้ง ดอกไม้ประดิษฐ์ อุบะ มาลัย ดอกไม้พุ่มแบบไทยเดิม ส่วนชนิดดอกไม้ก็เปลี่ยนไปตามฤดูกาล และอีกไม่นานเราจะได้เห็นงานเวิร์คช็อปจากดอกไม้บนชั้น 3 ซึ่งบอสออกแบบให้เป็นเรือนกระจกเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความสดชื่นของต้นไม้ ดอกไม้
ตลอดการสัมภาษณ์บอสย้ำกับเราตลอดว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเติบโตมาได้ไกลขนาดนี้คือ การที่เขาค้นหาตัวตนของเขาเจอ เพราะงานดอกไม้ไม่ได้มีแค่เจ้าเดียว แต่งานที่มีคาเรกเตอร์และตัวตนที่ชัดเจนจะมีอยู่เจ้าเดียว และไม่ว่าผู้สร้างสรรค์จะเปลี่ยนแปลงงานไปอย่างไร ผู้ที่ชื่นชอบงานนั้นๆ ก็จะตามหาเขาจนเจอ และอีกเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจอย่างไม่ต้องกังวลว่าโปรเจ็กต์นี้จะไปต่อได้ไกลขนาดไหนคือ ครอบครัว และ คนที่เขารัก และแม้ตอนนี้คุณยายจะไม่ได้ทันเห็นเมล็ดพันธุ์ที่เติบโตมาจากการปลูกฝังความรักงานดอกไม้ของคุณยาย แต่เราก็เชื่อว่า คุณยายต้องภูมิใจในหลานคนนี้มาก
“แม่และครอบครัวบอสค่อนข้างที่จะเชื่อว่าเราทำได้ และก็คอยซัพพอร์ตตลอด ไม่เคยบอกว่าอย่าเลย คิดดูก่อน บอสมาได้ไกลขนาดนี้ จากเด็กบ้านนอกเข้ามาทำงานในกรุงเทฯ จากที่ไม่มีเงินเก็บเลยจนเรามีเงินเก็บก้อนหนึ่ง และเรารู้สึกว่ามันถึงเวลาที่เราจะทำ เราคิดแค่ว่าการลงมือทำคือการต่อยอด ถ้าเราไม่ทำเลยมันก็จะอยู่แค่นั้น ถ้าเราทำแล้วประสบความสำเร็จมันก็คือความสำเร็จ ถ้าเราทำแล้วมันไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ในเมื่อฉันมาที่นี่ ฉันมากรุงเทพฯ ฉันก็มาแค่ตัว ถ้ามันจะไม่สำเร็จก็แค่กลับ กลับไปหาเงินใหม่ กลับไปเก็บตังค์ใหม่ ถ้ามันไม่ได้อะไรเลยจริงๆ อย่างน้อยก็มีคนเห็นผลงานเรา แม้มันจะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม และสุดท้ายถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็แค่กลับบ้าน”
Fact File
- อังคาร-ศุกร์ เปิดบริการเวลา 11.00-19.00 น. เสาร์-อาทิตย์ เปิดบริการ เวลา 10.00-19.00 น.
- www.facebook.com/maleebrewandbloom