“ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ถอดบทเรียนฝ่าวิกฤตโควิด-19 จาก “เอ็กโก กรุ๊ป”
- ถอดบทเรียนการฝ่าวิกฤตโควิด-19 ของ เอ็กโก กรุ๊ป สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ชุมชน หรือสังคมรอบข้าง
- นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพ.ศ 2563 ทาง เอ็กโก กรุ๊ป มีนโยบายช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านสาธารณสุขของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนภาคประชาชน และอาสาสมัคร ในการรับมือกับภาวะวิกฤตโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง รวมมูลค่ากว่า 52 ล้านบาท
ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเกือบ 2 ปีเต็มตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2563 กำลังจะเปลี่ยนโลกใบนี้ไปตลอดกาล และแม้ท้ายที่สุดสถานการณ์การแพร่ระบาดจะสิ้นสุดลง โควิด-19 อาจกลายเป็นเพียงโรคประจำถิ่น หรือโรคประจำฤดูกาลอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับวิกฤตไข้หวัดสเปนที่เคยระบาดไปทั่วโลก แต่ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการหลายฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันว่าวิถีชีวิตของผู้คนรวมทั้งการดำเนินธุรกิจในยุคหลังโควิด-19 จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นับเป็นความท้าทายใหม่ของภาคธุรกิจทุกแห่ง รวมถึง บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป ซึ่งนอกจากการเรียนรู้และปรับตัวของทั้งพนักงานและองค์กรท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความท้าทายแล้ว อีกสิ่งที่ถอดรหัสออกมาเป็นหัวใจในการฝ่าวิกฤตครั้งนี้คือ ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ชุมชน หรือสังคมรอบข้าง
“ตลอดช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 จนถึงปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป ได้ร่วมเคียงข้างคนไทยฝ่าวิกฤต รวมวงเงินช่วยเหลือจำนวน 52 ล้านบาท เรายังคงเดินหน้าสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านสาธารณสุขของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และอาสาสมัครอย่างต่อเนื่องเพื่อร่วมบรรเทาสถานการณ์ หยุดยั้งการแพร่ระบาด และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศไทย ด้วยความปรารถนาให้ประเทศไทยข้ามพ้นวิกฤตโควิด-19 และคนไทยสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติโดยเร็วที่สุด”
เทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป ขยายความถึงคำว่า ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงพนักงานของเอ็กโก กรุ๊ป แต่ยังหมายถึงชุมชนและสังคมซึ่งในวิกฤตนี้เห็นชัดเจนว่าทุกภาคส่วนต้องหันกลับมาจับมือกันให้แน่นยิ่งกว่าเคย สำหรับ เอ็กโก กรุ๊ป ที่ผ่านมาได้ส่งมอบความช่วยเหลือและสนับสนุนการทำงานของทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการให้ความสำคัญในการช่วยเหลือ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ บุคลากรทางการแพทยด่านหน้าที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสูงทั่วประเทศ และชุมชนในพื้นที่ที่เอ็กโก กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจหรือมีโรงไฟฟ้าตั้งอยู่ เช่นเดียวกับโปรเจกต์ฉุกเฉินต่าง ๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนตลอด 2 ปีที่ผ่านมาของ เอ็กโก กรุ๊ป
“กระเป๋าห่วงใย” ส่งตรงกำลังใจให้พนักงานถึงหน้าบ้าน
เมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาด สิ่งแรกที่เอ็กโก กรุ๊ป โฟกัสคือสุขภาพความปลอดภัยของพนักงาน โดยได้มีการออกมาตรการเชิงรุกและเชิงรับอย่างเร่งด่วน เพื่อให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ขั้นสูงสุด โดยมาตรการเชิงรุก บริษัทได้ปรับเปลี่ยนการปฏิบัติงานมาเป็น Work from Home ให้พนักงานทำงานที่บ้าน พร้อมกันนั้นก็สนับสนุนให้พนักงานทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และเพิ่มสวัสดิการดูแลค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนทางเลือกให้พนักงานอีก 1 เข็ม นอกจากนี้ยังได้จัดทำประกันภัยคุ้มครองการติดเชื้อโควิด-19 แบบกลุ่ม สำหรับพนักงานทุกคน ส่วนมาตรการเชิงรับนั้นหากพบว่าพนักงานติดเชื้อโควิด-19 หรือมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ ต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน ทางบริษัทจะประสานการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ดูแลเรื่องการจัดหาเตียงกับสถานพยาบาล หรือ ฮอสพิเทล (Hospitel) พร้อมทั้งจัดส่ง “กระเป๋าห่วงใย” บรรจุชุดยา เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการกักตัวตลอดเวลา 14 วัน ตามแนวปฏิบัติมาตรการ Home Isolation ให้ถึงที่บ้าน
สนับสนุนศูนย์ฉีดวัคซีน “KU สู้COVID-19” เร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้สังคม
อีกหนึ่งคีย์หลักของการฝ่าวิกฤตโควิด-19 คือการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดด้วยการเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งจุดบริการฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ได้มอบเงินจำนวน 500,000 บาท สนับสนุนศูนย์บริการฉีดวัคซีน “KU สู้ COVID-19” ซึ่งเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ และจิตอาสาจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์โดยการสนับสนุนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)และกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้เงินสนับสนุนดังกล่าวได้นำไปเป็นงบประมาณด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งค่าอาหารของจิตอาสาซึ่งต้องมาปฏิบัติหน้าที่ราววันละ 200-300 คน โดยศูนย์แห่งนี้ให้บริการฉีดวัคซีนแก่กลุ่มบุคลากร นิสิต นักศึกษา ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง รวมถึงหน่วยงาน ชุมชนโดยรอบ และประชาชนทั่วไป คาดว่าเมื่อถึงสิ้นเดือนธันวาคม พ.ศ.2564 จะสามารถฉีดวัคซีนได้รวม 240,000 โดส
ในเรื่องของการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ด้วยการฉีดวัคซีนนั้น ที่ผ่านมาทาง เอ็กโก กรุ๊ป ได้สนับสนุน ศูนย์บริการฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยมอบอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 500 ชุดเพื่อเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ผู้ปฏิบัติงานและจิตอาสา เนื่องในโอกาสพิธีเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สำหรับการฉีดวัคซีนพระราชทานใน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสว่างควัฒน วรขัตติยราชนารี แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาสผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย และชุมชนโดยรอบ
“โรงเรียนต้องรอด” ส่งเครื่องมือช่วยเด็ก ๆ ฝ่าวิกฤต
ชุมชนรอบโรงไฟฟ้าคืออีกหนึ่งมือที่เอ็กโก กรุ๊ป จะปล่อยไม่ได้ และนั่นจึงทำให้เกิดโปรเจกต์เร่งด่วนในการสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโควิด-19 รวมทั้งการจัดการขยะติดเชื้ออย่างถูกวิธีให้แก่โรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในภูมิภาคต่าง ๆ จำนวน 85 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่โรงไฟฟ้าในกลุ่มเอ็กโกดำเนินการอยู่ รวมมูลค่าประมาณ 860,000 บาท ทั้งนี้หากโรงเรียนสามารถจัดการขยะติดเชื้อได้อย่างถูกวิธีนั่นก็เท่ากับว่าสามารถหยุดยั้งการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อีกทาง โดยอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ที่บริจาค ได้แก่ เครื่องวัดอุณหภูมิและจ่ายแอลกอฮอล์อัตโนมัติ แอลกอฮอล์ชนิดน้ำสำหรับล้างมือ หน้ากากอนามัยสำหรับเด็ก สบู่เหลวล้างมือ ถังขยะและถุงขยะอันตราย เป็นต้น
ส่งกำลังหนุนการทำงานทีมแพทย์ ขับเคลื่อน “ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อเขตบางแค”
นอกจากโรงพยาบาลหลัก โรงพยาบาลสนาม และฮอสพิเทลแล้วการสร้าง “ศูนย์พักคอย” คืออีกหนึ่งปฏิบัติการสำคัญของทีมแพทย์ พยาบาลในการคัดกรองและแยกผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 ออกจากชุมชนและคนในครอบครัว โดยเฉพาะในชุมชนที่มีบ้านเรือนอยู่กันอย่างแออัด การสร้างศูนย์พักคอยจึงมีความสำคัญมากที่ผ่านมาทางเอ็กโก กรุ๊ป ได้สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นแก่ “ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อเขตบางแค กรุงเทพฯ” ประกอบด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิชุด PPE ป้องกันเชื้อไวรัส ชุด CPE ป้องกันสารคัดหลั่ง หมวกอนามัย เฟซชีลด์ถุงมือทางการแพทย์ ถุงคลุมเท้าและถุงคลุมรองเท้าพลาสติก ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นกองหนุนสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้มีความปลอดภัยจากการดูแลผู้ติดเชื้อ โดยก่อนหน้านี้เอ็กโก กรุ๊ป ได้สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น เช่น ชุด PPE และแอลกอฮอล์พ่นฆ่าเชื้อ ให้แก่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อเขตหลักสี่ด้วยเช่นกัน
“ถุงห่วงใย”ดูแลผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว
ย้อนไปในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 เมื่อครั้งที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ในพื้นที่จังหวัดระยองยังคงมีความรุนแรง จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนการรักษาในโรงพยาบาลหลักไม่อาจรองรับได้ และได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาให้ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการไม่รุนแรงแยกรักษาตัวเองที่บ้าน (Home Isolation) หรือ แยกรักษาตัวในชุมชน (Community Isolation) ซึ่งในช่วงแรกผู้ป่วยหลายคน หรือหลายชุมชนที่ต้องปรับตัวเองมาเป็น Community Isolation ยังไม่มีความพร้อมเรื่องยาและเวชภัณฑ์ ทางเอ็กโก กรุ๊ป ในฐานะที่มีโรงไฟฟ้าเอ็กโกโคเจน และนิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง ซึ่งดำเนินงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดระยอง จึงไม่รีรอที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยดูแลผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ด้วยการจัดทำ “ถุงห่วงใย” จำนวน 200 ชุด บรรจุชุดยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการดูแลตนเองเบื้องต้นตลอดการกักตัว 14 วัน โดยส่งมอบผ่าน รพ.สต. ศูนย์บริการสาธารณสุข และกลุ่มงานป้องกันและควบคุมโรค ในพื้นที่จังหวัดระยอง
ทั้งนี้ใน “ถุงห่วงใย” แต่ละใบได้บรรจุชุดยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น ได้แก่ ยาแคปซูลฟ้าทะลายโจร ยาพาราเซตามอล เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ปรอทวัดไข้แบบดิจิทัล หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ และถุงขยะติดเชื้อ ไม่เพียงเท่านั้นยังได้ลงรายละเอียดความห่วงใยเป็นคู่มือฉบับย่อย อ่านง่าย ว่าด้วยการใช้ยาแต่ละประเภทอย่างถูกต้องและติดคิวอาร์โค้ดแนะนำแนวทางการดูแลตัวเองขณะแยกกักตัวอยู่บ้านอีกด้วย
Fact File
- นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ใน พ.ศ.2563 จนถึงปัจจุบัน พฤศจิกายน พ.ศ 2564 ทาง เอ็กโก กรุ๊ป มีนโยบายช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านสาธารณสุขของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนภาคประชาชน และอาสาสมัคร ในการรับมือกับภาวะวิกฤตโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง รวมมูลค่ากว่า 52 ล้านบาท
- ติดตามความเคลื่อนไหวด้านภารกิจเกี่ยวกับโควิด-19 คลิก www.egco.com