รู้จัก “นักอนุรักษ์” ผู้อยู่เบื้องหลังการซ่อมงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซในประเทศไทย
- ผลงานการซ่อมแซมและอนุรักษ์ของ “โรแบร์ต บูแกรง ดูบูร์ก” ล้วนเป็นเมกะโปรเจกต์สำคัญระดับชาติ เช่น ภาพเขียนของศิลปินชาวตะวันตกในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
- “ขวัญจิต เลิศศิริ” นั้นเป็นนักอนุรักษ์ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการอนุรักษ์จิตรกรรมสัตว์หิมพานต์อายุกว่า 200 ปีที่แขวนประดับภายในพระวิหารหลวงของวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในวงการศิลปะคือ “นักอนุรักษ์” ซึ่งมีหน้าที่บูรณะ ซ่อมแซม และอนุรักษ์ผลงานศิลปะแขนงต่างๆ เพื่อรักษาประวัติศาสตร์สำคัญของชาติที่ถูกบันทึกผ่านงานศิลปะให้คงอยู่ พร้อมสืบสานมรดกวัฒนธรรมที่มาพร้อมความงามของศิลปะไทยไม่ให้สูญหาย
UOB Art Around ขอพาไปรู้จัก 2 นักอนุรักษ์ผลงานระดับมาสเตอร์คนสำคัญของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับทั้งจากนักสะสม ศิลปิน ภัณฑารักษ์ และหน่วยงานต่างๆ ว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสวยงามของผลงานชิ้นประวัติศาสตร์ และเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของระบบนิเวศศิลป์ไทย ได้แก่ โรแบร์ต บูแกรง ดูบูร์ก (Robert Bougrain Dubourg) นักอนุรักษ์ศิลปะชาวฝรั่งเศสหัวใจไทย ผู้บุกเบิกนำเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่องานอนุรักษ์ และ ขวัญจิต เลิศศิริ นักอนุรักษ์ผู้รื้อฟื้นงานช่างไทยโบราณแขนงต่างๆ ที่ใกล้สูญหายให้กลับมา เพื่อนำมาใช้ในการทำงานอนุรักษ์ศิลปะไทยที่มีเทคนิคเชิงช่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
สำหรับผลงานการซ่อมแซมและอนุรักษ์ของ “โรแบร์ต บูแกรง ดูบูร์ก” ล้วนเป็นเมกะโปรเจกต์สำคัญระดับชาติ เช่น ภาพเขียนของศิลปินชาวตะวันตกในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน คอลเล็กชันภาพวาดฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 9 งานศิลปะประดับเพดานและผนังภายในพระที่นั่งวิมานเมฆ พระราชวัง และงานอนุรักษ์ศิลปวัตถุที่เก็บรักษาและจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน
ส่วน “ขวัญจิต เลิศศิริ” นั้นเป็นนักอนุรักษ์ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการอนุรักษ์จิตรกรรมสัตว์หิมพานต์อายุกว่า 200 ปีที่แขวนประดับภายในพระวิหารหลวงของวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร รวมทั้งการชุบชีวิตให้กับคอลเล็กชันภาพคัดลอกจิตรกรรมฝาผนังด้วยกระดาษแก้วของอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์จากโบราณสถานต่างๆ ทั่วประเทศ
โรแบร์ต บูแกรง ดูบูร์ก ผู้บุกเบิกงาน “วิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์”
โรแบร์ต บูแกรง ดูบูร์ก ชายผู้นี้คือผู้ก่อตั้งองค์กรอนุรักษ์ไร้พรมแดน หรือ Restaurateurs Sans Frontières (RSF) ในประเทศไทยมากว่า 20 ปี และมีทีมงานชำนาญการราว 20 คน ปฏิบัติงานด้านอนุรักษ์ศิลปะ ณ ห้องอนุรักษ์ในซอยเกษมสันต์ 2 กรุงเทพฯ ที่นี่ยังเป็นเวิร์กช็อปเอกชนแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีห้องแล็บพร้อมอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการวิเคราะห์โครงสร้างทางวิทยาศาสตร์ของงานศิลปะ
ในอดีต โรแบร์ตเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหลักสูตรด้านการอนุรักษ์จิตรกรรมที่ École des Beaux Arts d’Avignon ในประเทศฝรั่งเศส โดยมีผลงานโดดเด่นด้านการบูรณะภาพเขียนสีโบราณ จิตรกรรมฝาผนัง ประติมากรรม และศิลปะประดับตกแต่งในสถานที่สำคัญหลายแห่งทั่วโลก เช่น วิหารคาร์นัก (Temple of Karnak) ในประเทศอียิปต์ ปราสาทบากอง (Bakong Temple) ในประเทศกัมพูชา และพระราชวังหลวงพระบางในประเทศลาว เป็นต้น
สำหรับเทคนิควิทยาศาสตร์เพื่อการบูรณะ โรแบร์ตถือเป็นผู้บุกเบิกวิทยาการที่ใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และการใช้ฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาประกอบ โดยทางองค์กร RSF จะมีกระบวนการเพื่อทำให้การบูรณะซ่อมแซมผลงานในประเทศไทยมีความสวยงามเหมือนต้นฉบับ เช่น การถ่ายภาพด้วยรังสียูวีและอินฟราเรดเพื่อหาร่องรอยการซ่อมแซมที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น การใช้เครื่องเอกซเรย์ ฟลูออเรสเซนซ์ เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของธาตุในชิ้นงาน รวมไปถึงการส่งชิ้นงานไปตรวจดูโครงสร้างภายในอย่างละเอียดด้วยเทคโนโลยีซีทีสแกนกับโรงพยาบาลในเครือข่าย นอกเหนือจากบริการซ่อมแซมและอนุรักษ์งานศิลปะแล้ว เขายังได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ชิ้นงานศิลปะตามความต้องการของลูกค้าตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ผนวกกับฐานข้อมูลงานศิลปะที่มีเป็นจำนวนมาก
“ที่นี่ เราทำทั้งวิจัยและรายงานของชิ้นผลงานอย่างละเอียดให้ลูกค้า ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้การวิเคราะห์อย่างรอบคอบและด้วยฐานข้อมูลซึ่งเราเก็บสะสมมาเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้มั่นใจว่าองค์กรอนุรักษ์ RSF มีฐานข้อมูลของงานศิลปะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย” โรแบร์ตกล่าว
ที่สุดของการอนุรักษ์ คือการดูแลศิลปะอันเป็นมรดกของชาติ
ส่วนงานอนุรักษ์ในประเทศไทยที่เรียกได้ว่ากลายเป็นบ้านหลังที่ 2 ของเขาเริ่มต้นจากโปรเจกต์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลฝรั่งเศส และกรมศิลปากร เมื่อ 2542 ในการอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังตามวัดชนบทในไทย ในระหว่างนั้นทางกรมศิลปากรยังได้ให้โรแบร์ตช่วยซ่อมแซมภาพเขียนของศิลปินชาวตะวันตกในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งเก็บรักษาที่พระตำหนักจิตรลดาฯ รวมถึงคอลเล็กชันภาพวาดฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 9 จึงทำให้เขาตัดสินใจเปิดสำนักงานด้านการอนุรักษ์ขึ้นในประเทศไทยเมื่อ 2547
ต่อมาเมื่อมีการบูรณะหมู่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทีมงานของโรแบร์ตได้รับผิดชอบในการอนุรักษ์ศิลปะตกแต่งลายปูนปั้นและจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งวาดโดย เซซาเร เฟร์โร (Cesare Ferro) จิตรกรชาวอิตาลี ที่ได้รับการว่าจ้างจากราชสำนักสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยใช้เวลาในการอนุรักษ์งานศิลปะทั้งหมดในหมู่พระที่นั่งเป็นเวลา 3 ปีครึ่ง และโปรเจกต์ที่บูรณะเสร็จสิ้นไปเมื่อเดือนกันยายน ปี 2566 คืองานศิลปะประดับเพดานและผนัง 50 ห้องภายในพระที่นั่งวิมานเมฆ พระราชวังดุสิต
ขวัญจิต เลิศศิริ การรื้อฟื้น “เทคนิคช่างไทยโบราณ” เพื่อการอนุรักษ์
ขวัญจิต เลิศศิริ คือนักอนุรักษ์งานศิลปะที่มีบทบาทอย่างมากในการอนุรักษ์ศิลปะไทย ผลงานที่โดดเด่นมีตั้งแต่จิตรกรรมฝาผนัง ผ้าพระบฏโบราณ (ผ้าที่มีการเขียนภาพเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ หรือทศชาติชาดก หรือคติธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า) ภาพเขียนสีฝุ่นบนกระดาษข่อย ตาลปัตร ไปจนกระทั่งภาพเขียนของศิลปินไทยยุคบุกเบิก ซึ่งต้องใช้วัสดุ สี และเทคนิคเชิงช่างไทยแบบโบราณเข้ามาซ่อมแซม
หลังจากเรียนจบด้านจิตรกรรมไทยจากโรงเรียนเพาะช่าง ขวัญจิตเข้ารับราชการที่กลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอยู่ 17 ปี และย้ายไปประจำในตำแหน่งนายช่างศิลปกรรมอาวุโส ที่กลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม สำนักโบราณคดีอีก 10 ปี จากนั้นเธอตัดสินใจลาออกมารับงานอิสระและก่อตั้ง KCT Conservation ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมผลงานที่รอการอนุรักษ์ล้นมือ
“บ้านเรามีสมบัติล้ำค่าเยอะ บางครั้งเราเห็นว่างานชิ้นนั้นมีคุณค่ามาก แต่ทุกคนลืม ทุกคนมองแค่ว่าเป็นของผุๆ พังๆ ไร้ค่า บางชิ้นเป็นกระดาษแผ่นเดียว บางชิ้นถูกทิ้งถังขยะด้วยซ้ำ หน้าที่เราคือนำความรู้ที่มีมาชุบชีวิตงานชิ้นนั้นทำให้กลับมามีคุณค่าอีกครั้งและทำให้ผู้คนตระหนักว่า นี่คืองานระดับครูบาอาจารย์และเป็นงานที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ของชาติ แต่ถูกละเลยและมองไม่เห็นค่า” ขวัญจิตกล่าวในมุมมองของนักอนุรักษ์ศิลปะ
ความน่าสนใจในกระบวนการทำงานอนุรักษ์ของขวัญจิตร นอกจากจะต้องนำผลงานมาตรวจสอบอย่างละเอียด วิเคราะห์อย่างรอบ และหาสาเหตุให้เจอ เธอยังนำแนวทางการอนุรักษ์แบบสากลที่มีการตรวจสอบบันทึกข้อมูลของชิ้นงาน ใช้เครื่องมือทันสมัยเข้ามาร่วมกับเทคนิคช่างไทยโบราณ เพราะศิลปะไทยเป็นงานที่มีเทคนิตเฉพาะตัว เช่น การใช้สีฝุ่นไทยโทน การใช้กาวจากเมล็ดมะขาม การใช้ดินสอพองในการรองพื้น หรือการทำน้ำหมักจากหินปูนเผาไฟในงานจิตรกรรมฝาผนัง เป็นต้น ซึ่งการใช้เทคนิคแบบช่างโบราณก็เพื่อให้การอนุรักษ์ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันผสานกลมกลืนกับอดีตได้อย่างแนบเนียน
รักษา สืบสาน ส่งต่อประวัติศาสตร์สำคัญของชาติ
ขวัญจิตกล่าวว่างานศิลปะชิ้นสำคัญหลายชิ้นถึงแม้อายุยังไม่ถึงร้อยปี แต่กลับอาการสาหัส เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทั้งจากเลือกใช้วัสดุ การเข้ากรอบ การจัดเก็บ การจัดแสดง หรือการเคลื่อนย้าย ขวัญจิตจึงเห็นว่าวงการศิลปะในประเทศไทยยังต้องเพิ่มความรู้ความเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์เชิงป้องกัน รวมถึงการสร้างบุคลากรด้านการอนุรักษ์ที่มีความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติซึ่งต้องทำอย่างเร่งด่วน
“งานชิ้นหนึ่งเมื่อเราลงมือทำไปแล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงตลอดกาล วัสดุและวิธีการที่เราใช้อาจจะดีวันนี้ แต่อีก 50 ปีข้างหน้าอาจมีเทคโนโลยีที่ดีกว่า เราไม่ใช่คนเดียวที่เป็นคนอนุรักษ์ ผ่านไป 20 ปีเราอาจไม่ได้อยู่แล้ว แต่คนข้างหลังต้องแก้ไขสิ่งที่เราทำเอาไว้ได้โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับชิ้นงาน ต้องตระหนักว่าการอนุรักษ์ไม่ใช่แค่การรักษา แต่การอนุรักษ์คือการส่งต่อประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของชาติให้คงอยู่สืบต่อไปอีกด้วย”
Fact File
อ่านคอนเทนต์ด้านศิลปะจาก UOB Art Around : https://www.uob.co.th/uobandart/uob-art-around.page#UOB Art Around#UOB Art Around