On the Job ซีรีส์สัญชาติฟิลิปปินส์กับความ “ถูก ผิด จริง เท็จ” บนโลกสีเทา

หากมีโอกาสได้รับรู้ความจริงบางเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ แม้ไม่ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ความถูกต้อง ลำพังแค่ปากคำของคนที่บอกเล่า บวกกับโครงสร้างทางสังคมที่เห็นและเป็นอยู่ก็ทำให้มั่นใจได้อย่างไม่ยากเย็นว่า สิ่งที่ได้ฟังคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นเพียงแค่ประโยคบอกเล่าเรื่องราวชีวิตแสนธรรมดาของนักโทษเรือนจำคนหนึ่งที่ระบุว่า เขาได้สิทธิ์ออกมาเดินเล่นนอกเรือนจำเหมือนคนทั่วไปชั่วคราว เพราะตนเองรับจ้างจากองค์กรเป็นมือปืนกำจัดบุคคลที่ขวางหูขวางตาผู้มีอิทธิพลทางการเมือง แค่นั้นก็ทำให้ เอริค แมตตี (Erik Matti) ผู้กำกับมือฉมังชาวฟิลิปปินส์ ตัดสินใจทุ่มเวลามากกว่า 3 ปีในการค้นคว้าหาข้อมูลอย่างจริงจัง เพื่อนำมาเขียนเป็นบทภาพยนตร์ ภายใต้ความช่วยเหลือปรับแก้จากนักเขียนบทมืออาชีพอย่าง มิชิโกะ ยามาโมโตะ (Michiko Yamamoto) จนได้มาเป็นภาพยนตร์ซีรีส์ขนาดสั้น ที่ตีแผ่ความเป็นจริงและความเป็นไปของวงการการเมือง หน่วยงานรัฐ สื่อมวลชน และสังคมของฟิลิปปินส์อย่างเผ็ดร้อนถึงแก่นเรื่อง On the Job 

On the Job ซีรีส์แนวอาชญากรรมระทึกขวัญ 6 ตอนความยาวรวมเกือบ 6 ชั่วโมง เริ่มต้นเรื่องราวจากนักโทษมือปืนอย่าง ตาแตง (Tatang) ดาเนียล (Daniel) และ โรมัน (Roman) ที่สองรายแรกยอมรับด้วยความตั้งใจและเต็มใจที่จะเป็นมือปืนรับจ้างชนิดมืออาชีพ ขณะที่รายหลังจับพลัดจับผลูต้องมาเป็นมือสังหาร แต่ทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือ การกลับไปมีชีวิตนอกเรือนจำอย่างคนทั่วไป โดยหารู้ไม่ว่าการถอนตัวจากไปอย่างเงียบ ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย เมื่อมีตำรวจอย่าง โจอาควิน (Joaquin) และนักสืบหนุ่ม ฟรานซิส (Francis) คอยขับเคี่ยวไล่ล่าอย่างไม่ลดละ

กระนั้นเมื่อความจริงได้ตีแผ่ออกมาให้สังคมได้รับรู้ โดยมีนักข่าวมือฉมังอย่าง อาร์เนล แพนแกน (Arnel Pangan) และ ซิซอย (Sisoy Salas) ร่วมด้วยช่วยขุดคุ้ย กลับกลายเป็นเหตุนองเลือดล้างบางครั้งใหญ่ที่สั่นสะเทือนสังคม เพราะเบื้องหลังทั้งหมดดันเกี่ยวข้องพัวพันกับนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่สีเทา ๆ แห่งนี้ 

แน่นอนว่าพล็อตของเรื่องอาจไม่ใช่อะไรแปลกใหม่ แต่ แมตตี ผู้กำกับกลับวางจังหวะของเรื่อง และออกแบบบุคลิกของตัวละครแต่ละตัวได้อย่างสอดคล้องเกี่ยวข้องกัน โดยที่การกระทำของตัวละครตัวหนึ่งส่งผลกลายเป็นเรื่องราวที่ผลักดันการกระทำของตัวละครอีกตัวหนึ่งต่อเนื่องเกี่ยวโยงกันไป ทั้งยังออกแบบให้ตัวละครที่ดูเหมือนจะเลวไม่ได้เลวอย่างสุดขั้วทว่าเป็นมนุษย์สีเทา ๆ คนหนึ่ง

“ผมสร้างตัวละครแต่ละตัวให้กลม คือไม่มีใครดีใครเลวแบบสุดขั้ว คุณจะเห็นว่า ด้วยสภาพแวดล้อม ด้วยสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ตัวละครจะต้องตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อก่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง”

เอริค แมตตี กล่าวถึงแนวคิดในการสร้างตัวละครของเขา ในขณะเดียวกัน แม้ประเด็นทางการเมืองและสังคมที่พูดถึงในซีรีส์จะเกิดขึ้นในบริบทของฟิลิปปินส์ที่แมตตียอมรับว่า ค่อนข้างกังวลไม่น้อยเมื่อต้องฉายให้ผู้ชมทั่วโลก แต่คำว่า “การเมือง” ที่พ่วงด้วยคำว่า “อำนาจ” กับ “คอร์รัปชัน” ซึ่งส่งผลต่อความเป็นจริงของข้อมูลที่ผู้คนในสังคมได้รับรู้ โดยมีทั้ง “จริงแท้” และ “จริงลวง” ก็ถือเป็นประเด็นสากลที่สังคมโลกสามารถเข้าใจในแบบ “รู้ ๆ กันอยู่” ได้ไม่ยาก

On the Job จึงเป็นซีรีส์สัญชาติเอเชียที่ดูสนุก และทำให้เชื่อหรือรู้สึกอย่างไม่ต้องกังขาว่า มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นได้เสมอ ถือเป็นซีรีส์ 6 ตอนที่ดูได้เพลิน ๆ มียิ้มหัวเราะกับความจิกกัดเสียดสีสังคมฟิลิปปินส์ (ที่คนไทยอาจรู้สึกคุ้นเคย) และลุ้นระทึกกับบทสรุปสุดท้ายของตัวละครแต่ละตัวที่ต้องตัดสินใจเลือกทางของตัวเอง 

ทางเลือกบนความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมสีเทา ๆ ที่ประโยคสุดท้ายของนักข่าวอย่างซิซอยที่ว่า “เรามาทำสิ่งที่ถูกต้องกันเถอะ” ยังทำให้คนดูอย่างเรา ๆ รู้สึกยากที่จะรับปากในทันที 

Fact File

• On the Job กำกับการแสดงโดย Erik Matti ซีรีส์ภาษาอังกฤษและฟิลิปปินส์ ถ่ายทำในประเทศฟิลิปปินส์ นำแสดงโดย Joel Torre, John Arcilla, Piolo Pascual, Dennis Trillo, Gerald Anderson, Joey Marquez, Dante Rivero, Christopher De Leon และ Lotlot De Leon ผลิตโดย Reality MM Studios และ Globe Studios เขียนบทโดย Michiko Yamamoto และ Erik Matti อำนวยการสร้างโดย Ronald “Dondon” Monteverde, Erik Matti, Joe Caliro และ Quark Henares
• On the Job เป็นซีรีส์สัญชาติฟิลิปปินส์ ที่ได้รับการเข้าฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ประจำปี 2013 และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิสครั้งที่ 78 ประจำปี 2021 ในฐานะภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล และนักแสดงนำชาย John Arcilla ผู้รับบทเป็นนักข่าว Sisoy Salas ก็ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Venice Film Festival 2021
• สามารถรับชมหรือดาวน์โหลดซีรีส์ทั้ง 6 ตอนได้ทาง HBO GO