ย้อนรอย 20 ปี เหตุวินาศกรรม 9/11 ผ่าน 5 สารคดี 4 ภาพยนตร์
Lite

ย้อนรอย 20 ปี เหตุวินาศกรรม 9/11 ผ่าน 5 สารคดี 4 ภาพยนตร์

Focus
  • 11 กันยายน ค.ศ. 2021 ครบรอบ 20 ปี เหตุวินาศกรรม 9/11 เหตุการณ์วินาศกรรมที่เป็นเหมือนฝันร้ายของชาวอเมริกันและชาวโลก
  • 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ได้เกิด 3 เหตุวินาศกรรมขึ้น 3 จุดเกิดเหตุโดยเครื่องบินโดยสาร 4 ลำ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน

11 กันยายน ค.ศ. 2021 ครบรอบ 20 ปี เหตุวินาศกรรม 9/11 เหตุการณ์วินาศกรรมครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกภาพเหตุการณ์จริงขณะเกิดเหตุจริงถ่ายทอดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลก ย้อนไปในเช้าวันอังคารที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ไม่มีใครคาดคิดว่าประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาจะถูกโจมตีจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายอย่างสาหัสที่สุด โดยเครื่องบินโดยสารจำนวน 4 ลำถูกจี้กลางอากาศลำหนึ่งพุ่งชนตึกเพนตากอน และอีก 2 ลำถูกบังคับให้พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ตึกแฝด 110 ชั้น ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ส่วนเครื่องบินลำที่ 4ตกลงในทุ่งที่รัฐเพนซิลเวเนีย

9/11 ไม่ได้สร้างความเสียหายและความเศร้าสะเทือนเฉพาะแผ่นดินอเมริกาแต่ยังเป็นเหตุการณ์ช็อกโลกที่ติดอยู่ในความเศร้าโศกของหลายคน รวมทั้งยังได้ส่งผลให้สงครามก่อการร้ายเปิดฉากขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน Sarakadee Lite ขอพาย้อนไปสู่ 20 ปี เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ผ่าน 5 สารคดี 4 ภาพยนตร์ สะท้อนเหตุวินาศกรรม 9/11 ซึ่งบางเรื่องอย่าง NYC Epicenters 9/11 -> 2021½ ของผู้กำกับ สไปค์ ลี และ Turning Point: 9/11 and the War on Terror ของ ไบรอัน แนปเพนเบอร์เกอร์ ก็สร้างใหม่เนื่องในครบรอบ 20 ปีในปี 2021โดยเฉพาะ

9/11

Fahrenheit 9/11

ประเภท : ภาพยนตร์สารคดี

ผู้กำกับ : ไมเคิล มัวร์ (Michael Moore)

ปีที่ออกฉาย : ค.ศ.2004

เนื้อหา

3 ปีหลังเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ.2001 สหรัฐอเมริกายกทัพบุกอิรักและเปิดสงครามอิรัก โค่นซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำอิรักในเวลานั้น ไมเคิล มัวร์ ทำหนังแทนการเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีจอร์จ บุช (ซีเนียร์) ว่าใช้ข้ออ้างจากเหตุวินาศกรรม 9/11 ในการผลักดันอเมริกาเปิดสงครามต่อต้านก่อการร้าย (War on Terror) ในอิรักและอัฟกานิสถาน รวมถึงการที่สภาคองเกรสผ่านร่าง พ.ร.บ. ต่อต้านก่อการร้าย(Patriot Act) อย่างรวดเร็วเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2001 เพียง 1 เดือนหลังเหตุวินาศกรรม

ความเห็นผู้กำกับ

“ผมคิดว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าเราต้องไล่ล่าหาตัวคนมารับผิดชอบการก่อเหตุที่คร่าชีวิตคนไปกว่า 3,000 คน แต่อย่างที่ ริชาร์ด คลาร์ก (Richard Clarke) พูดตรงประเด็นว่า ในวันที่ 12 กันยายน (1 วันหลังเกิดเหตุ) รัฐบาลบุชไม่ได้สนใจจะล่าตัวคนก่อการจริงๆหรอก แค่อยากถล่มอิรักอยู่แล้ว”

ไมเคิล มัวร์ ผู้กำกับ อ้างความเห็นของ ริชาร์ด คลาร์ก อดีตผู้สื่อข่าวด้านสายข่าวต่อต้านก่อการร้ายที่ทำเนียบขาว ซึ่งเขาได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในสารคดีเพื่อประกอบการสร้างเรื่องราวนำเสนอถึงความไม่โปร่งใสของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการทำสงครามที่ตะวันออกกลาง และการเปิดฉากสงครามอิรัก โดยส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดหวังปลิดชีพ ซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำอิรักในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ.2003 ด้วยข้อกล่าวหาว่า อิรัก ภายใต้การปกครองของซัดดัม ฮุสเซน แอบผลิตและครอบครองอาวุธร้ายแรง รวมถึงการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรม 9/11

รางวัลและกระแส

ภาพยนตร์เรื่องนี้แม้จะเป็นสารคดี มีข้อมูลข้อเท็จจริง แต่แนวทางการนำเสนอเน้นการผลักดันประเด็นทางการเมืองที่ชัดเจน ทำให้ภาพยนตร์ได้เปิดข้อถกเถียงและแบ่งแยกความเห็นต่างขั้วในสังคมอเมริกัน ทั้งยังได้รับการตอบรับจากผู้ชมล้นหลามจนกลายภาพยนตร์สารคดีที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลในสหรัฐอเมริกา และชนะรางวัลปาล์มทองคำ สำหรับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (The Cannes Film Festival) ที่ฝรั่งเศสเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2004

นักวิจารณ์บางคนชี้ว่า เนื้อหาเข้าข่ายภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อ และมีวาระซ่อนเร้นเพื่อขับเคลื่อนความเห็นทางการเมือง ที่ผู้กำกับไมเคิล มัวร์ แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายเปิดสงครามต่อต้านก่อการร้ายในอิรักและอัฟกานิสถาน ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ในช่วงที่มีกระแสต้านบุช ช่วงเวลาที่ภาพยนตร์ออกฉายในปีที่สหรัฐอเมริกาจะเลือกตั้งประธานาธิบดีวาระใหม่

อ้างอิง

9/11

9/11: One Day in America

ประเภท : สารคดี ซีรีส์ 6 ตอนจบ

ผู้กำกับ : แดเนียล โบกาโด (Daniel Bogado)

ปีที่ออกฉาย : ค.ศ.2021

เนื้อหา

9/11: One Day in America อำนวยการผลิตโดย พิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานรำลึกเหตุการณ์ 9/11 ร่วมกับ เนชันแนล จีโอกราฟิก (National Geographic) ในวาระครบรอบ 20 ปีเหตุวินาศกรรม โดยสารคดีมีทั้งหมด 6 ตอน เล่าเรื่องเรียงลำดับไทม์ไลน์เหตุการณ์ ตั้งแต่บรรยากาศช่วงเช้าตรู่ของอเมริกา ก่อนที่เครื่องบินลำแรกพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดฝั่งใต้ (เซาท์ทาวเวอร์) ในเวลา 8.30 น. ตามเวลาที่นิวยอร์กและความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้นในลำดับต่อมา ตามด้วยการเจาะชีวิตของคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ทั้งจากคลิปเสียง ฟุตเทจและบทสัมภาษณ์ย้อนหลังจากปัจจุบันถึงประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคนที่ผ่านเหตุการณ์จริง

ความเห็นผู้กำกับ

“ประเด็นคืออยากให้เห็นว่าวันนั้นคนที่อยู่ในเหตุการณ์มีพฤติกรรมอย่างไรเป็นการให้ข้อมูลกับผู้ชมถึงความน่าสะพรึงของเหตุการณ์ที่มันมากมาย แต่ก็ทำให้เห็นถึงมนุษยธรรมด้วย”

รับชม : ช่อง National Geographic บริการผ่าน AIS Play Box

อ้างอิง

20 ปี เหตุวินาศกรรม 9/11

Turning Point: 9/11 and the War on Terror

ประเภท : สารคดีซีรีส์ 5 ตอนจบ

ผู้กำกับ : ไบรอัน แนปเพนเบอร์เกอร์ (Brian Knappenberger)

ปีที่ออกฉาย : ค.ศ.2021

เนื้อหา

สารคดีซีรีส์ โดย Netflix ชื่อภาษาไทยว่า จุดเปลี่ยน: 11 กันยายนและสงครามต่อต้านการก่อการร้าย เป็น ซีรีส์ 5 ตอนจบ ที่เล่าประวัติศาสตร์การเมืองและการทหารของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เหตุการณ์ที่ปูทางมาสู่วินาศกรรม11 กันยายน 2001 อันเป็นผลพวงมาจากนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาและการเข้าร่วมในสงครามหลายครั้งหลายหนกับหลายกลุ่มและหลายประเทศในแถบตะวันออกกลางนับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970 ช่วงท้ายของยุคสงครามเย็น (การต่อสู้ระหว่าง สหรัฐฯ มหาอำนาจเสรีประชาธิปไตยกับ สหภาพโซเวียต ฝ่ายมหาอำนาจสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่เริ่มมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2)

เมื่อสหรัฐฯ จัดทัพครูฝึกไปฝึกฝนนักรบมูจาฮิดีนเพื่อขับไล่โซเวียตที่มาบุกอัฟกานิสถานในปี ค.ศ. 1979 และทำสงครามยาวไป 10 ปี ต่อด้วยสงครามปราบปรามอิรักในยุค 90 เพื่อช่วยคูเวตจากการรุกรานของอิรักและเป็นต้นทางกลุ่มต่อต้านสหรัฐฯอย่างกลุ่มอัลกออิดะห์ที่มีทั้งการโจมตีสหรัฐฯ ในต่างประเทศ และนำมาสู่เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ต่อเนื่องถึงสงครามอัฟกานิสถานที่ยืดเยื้อถึง 20 ปีที่สหรัฐฯ ตั้งต้นจากการไล่ล่า โอซามา บิน ลาเดน ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ที่ทางการสหรัฐฯ เชื่อว่าได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถาน

เรื่องราวร้อยเรียงจากบทสัมภาษณ์ยืนยันข้อมูลโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์สงคราม ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ อดีตหน่วยสืบราชการลับซีไอเอ ทหารผ่านศึกจากกองทัพสหรัฐฯ กองทัพอัฟกานิสถาน หัวหน้าหน่วยของกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน อดีตสมาชิกรัฐบาลอัฟกานิสถาน ผู้รอดชีวิตและประชาชนทั่วไป

รับชม : Netflix

20 ปี เหตุวินาศกรรม 9/11

NYC Epicenters 9/11 -> 2021½

ประเภท : สารคดีซีรีส์ 4 ตอนจบ

ผู้กำกับ : สไปค์ ลี (Spike Lee)

ปีที่ออกฉาย : ค.ศ.2021

เนื้อหา

สารคดี 4 ตอนจบโดย สไปค์ ลี ผู้กำกับที่เกิดและเติบโตในย่านบรุกลิน นิวยอร์กเล่าเรื่องชะตากรรมของชาวเมืองนิวยอร์ก จากเหตุการณ์สำคัญในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากเหตุการณ์ล่าสุดที่นิวยอร์กเผชิญโรคระบาดโควิด-19 ย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อนเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดบนแผ่นดินสหรัฐอเมริกาและนิวยอร์ก สารคดีนำเสนอเรื่องราวของเหตุการณ์ 9/11 ผ่านคำบอกเล่าของผู้ประสบเหตุการณ์จริงทั้งประชาชนทั่วไปและเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ ที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น

ประเด็นเกี่ยวกับ 9/11

ในซีรีส์ตอนสุดท้าย เน้นถึงการสดุดีผู้ที่รอดจากเหตุการณ์ 9/11 และคนที่เสียชีวิตโดยเฉพาะวีรบุรุษนิรนามที่อยู่เบื้องหลังการอพยพคนออกจากย่านแมนแฮตตัน หลังจากตึกเวิลด์เทรดอาคารฝั่งเหนือฝั่งใต้และอาคาร 7 ได้ถล่มลงมาราบเป็นหน้ากลองยังจุดที่ปัจจุบันเรียกว่า กราวด์ ซีโร (Ground Zero) ซึ่งผู้กำกับสไปค์ ลี ได้แสดงภาพใบหน้าของคนเหล่านั้นพร้อมให้เครดิตชื่อพวกเขาด้วย

นอกจากนี้เนื้อหาของเรื่องราวยังชี้ถึงนโยบายของรัฐที่ไม่จริงใจในการดูแลประชาชน โดยเฉพาะประเด็นที่ไม่มีใครพูดถึงว่า หลังจากตึกแฝดถล่มลงมาแล้ว หัวหน้ากรมควบคุมมลพิษของนิวยอร์กยืนยันกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยด่านหน้าเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่มีสารพิษหรือมลพิษใดๆ ที่เสี่ยงกระทบต่อสุขภาพแต่สไปค์ ลีได้นำหลักฐานตัวตนผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเรื้อรังนับตั้งแต่วันเกิดเหตุและต้องดูแลตัวเองโดยที่รัฐยังคงทำเหมือนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าจะมีผลกระทบเกิดขึ้น และแม้การกล่าวหารัฐเรื่องมลพิษกระทบต่อสุขภาพจะพูดได้ไม่เต็มปาก แต่สไปค์ ลี ก็ใส่เรื่องนี้ไว้ในภาพยนตร์แบบไม่ยั้ง โดยตีตราว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีบุชนั้น “โกหก” ที่ไปกล่าวหาว่าประเทศในตะวันออกกลางแอบซุกอาวุธที่มีประสิทธิภาพทำลายล้างเพื่อเป็นเหตุผลในการบุกประเทศเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม สไปค์ ลี ก็ได้เซนเซอร์ตัวเองไปเรียบร้อย เพื่อเลี่ยงข้อครหาว่าป้ายยาหรือใส่ทฤษฎีสมคบคิดที่ทำให้คนไขว้เขว โดยผู้กำกับ สไปค์ ลี ยอมตัดต่อพาร์ตที่เขาใส่ข้อมูลและเรื่องราวกว่า 30 นาที ที่สัมภาษณ์ข้อมูลด้านสถาปัตยกรรมที่ตั้งข้อสงสัยกับการถล่มของตึกเวิลด์เทรดที่พังลงมาราวกับถูกกดปุ่มระเบิดจากฐานในชั่วพริบตาและทรุดตัวลงมาเป็นเศษฝุ่นผงไม่เหลือกระทั่งซากโครงสร้างตึกว่าอาจจะเป็นการกดปุ่มถล่มตึกของคนวงใน (รัฐบาลรู้เห็น) ไม่ใช่แรงระเบิดจากเชื้อเพลิงของเครื่องบินที่พุ่งชนตึกจนทำให้โครงสร้างของตึกเวิลด์เทรดทนความร้อนหลอมละลายจากภายในอย่างที่ทางการสรุป

รับชม : HBO Max

อ้างอิง

Manhunt: The Inside Story of the Hunt for Bin Laden

ประเภท : ภาพยนตร์สารคดี

ผู้กำกับ : เกรก บาร์เกอร์ (Greg Barker) ดัดแปลงบทจากหนังสือ Manhunt: The Ten-Year Search for Bin Laden from 9/11 to AbbottabadโดยPeter Bergen

ปีที่ออกฉาย : ค.ศ.2013

เนื้อหา

ภาพยนตร์สารคดีติดตามภารกิจลับของเจ้าหน้าที่ซีไอเอกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้หญิงในการติดตามข้อมูลแกะรอยตามหาตัว โอซามา บิน ลาเดน ผู้ต้องหาว่าบงการการก่อวินาศกรรมถล่มอเมริกา 11 กันยายน ค.ศ. 2001เจ้าหน้าที่ซีไอเอทีมนี้ติดตามเก็บข้อมูลแกะรอยบินลาเดนมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 และส่งข่าวกรองเพื่อจะหยุดยั้งการโจมตีอเมริกาของเขาให้ได้ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ 9/11 พวกเขาก็ถูกตำหนิติเตียนจนกระทั่ง 10 ปีต่อมาจึงสามารถแกะรอยและปลิดชีพบิน ลาเดนได้ในที่สุด

ประเด็นที่เกี่ยวกับ 9/11

สารคดีของ HBO Documentary Films เรื่องนี้เล่าข้อมูลชุดเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง Zero Dark Thirty แต่เป็นการร้อยเรียงคำสัมภาษณ์ข้อมูลภาพและเสียงจากบุคคลที่เข้าร่วมในปฏิบัติการจริง โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนสาวเจ้าหน้าที่ซีไอเอหญิงที่สามารถระบุตำแหน่งของบิน ลาเดน ได้ หลังจากเวลายืดเยื้อมากว่า 2 ทศวรรษและปลดภาระที่หนักอกในประวัติศาสตร์ที่แสนชอกช้ำของชาวอเมริกันได้เสียที

ความเห็นผู้กำกับ

“ผมหวังว่าหนังจะสะท้อนการไล่ล่าบิน ลาเดน ว่ามันเป็นเรื่องของทางเลือก… และผู้ชมจะกลับไปถามตัวเองว่า ถ้าพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบที่เห็นในหนังพวกเขาจะเลือกทำอะไร”

รางวัล

เอมมีอวอร์ด (Emmy Award) ปี 2013สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม ฉายทางโทรทัศน์ช่วงไพรม์ไทม์(Outstanding Documentary or Nonfiction Special)

รับชม : HBO Max

อ้างอิง

United 93

ประเภท : ภาพยนตร์แนวชีวิต ระทึกขวัญ

ผู้กำกับ : พอล กรีนกราส (Paul Greengrass)

ปีที่ออกฉาย : ค.ศ.2006

เนื้อหา

United 93 เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่พูดถึงเหตุการณ์ 9/11 ที่เกิดขึ้น และออกฉายหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 5 ปี กับการนำเสนอภาพที่สะเทือนขวัญผู้รอดชีวิตและญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ แม้ภาพยนตร์จะไม่ได้เก็บทุกรายละเอียด แต่ภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวและอารมณ์ความรู้สึกบรรยากาศที่เกิดขึ้นในสถานการณ์คับขันก่อนที่ผู้โดยสารและลูกเรือ United Airlines Flight 93 จะลาโลกไปพร้อมกับเหตุวินาศกรรมที่คนทั้งโลกไม่เคยลืม

สำหรับเครื่องบินสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่93 (United Airlines Flight 93) เป็นเครื่องบิน 1ใน 4 ลำที่ถูกสลัดอากาศจี้เพื่อนำไปก่อเหตุวินาศกรรมในวันที่ 11 เดือนกันยายน ค.ศ. 2001 โดยเครื่องบินสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ทำการบินระหว่างสนามบินที่ นวร์ก (Newark) มุ่งหน้าสู่กรุงวอชิงตัน ดีซี พร้อมบรรดาลูกเรือ ผู้โดยสารและผู้บังคับอากาศยานรวม 40 คน ทั้งหมดต้องเผชิญกับช่วงเวลาระทึกขวัญก่อนที่เครื่องบินจะตกที่บริเวณเมืองแชงค์วิลล์(Shanksville) รัฐเพนซิลวาเนีย ในเวลา 10.30 น.ช่วงสายของวันที่11 กันยายน

ประเด็นที่เกี่ยวกับ 9/11

เอกสารของหน่วยงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ FBI ระบุว่า เครื่องบิน United 93 ถูกสลัดอากาศ 4 คน บังคับเครื่องบินให้พุ่งเข้าชนตึกสำนักงานเหมืองร้างที่ตั้งอยู่แชงค์วิลล์ เมืองเล็กๆ ที่ห่างจากพิตต์สเบิร์ก (Pittsburgh) ราว 80 ไมล์ ด้วยความเร็ว 580 ไมล์ต่อชั่วโมง ในมุมตั้งฉากกับอาคาร ส่งผลให้ตัวเครื่องบินถูกทำลายจนย่อยยับและจมอยู่ในซากอาคาร ไม่มีใครบนเครื่องบินรอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้นเลย สำหรับเหตุการณ์เครื่องบินสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่93 ตกเป็นเหตุการณ์สุดท้ายในเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 หลังจากมีเหตุเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ที่นิวยอร์ก 2 ลำ และพุ่งชนตึกเพนตากอน อีก 1 ลำ ในช่วงเช้าวันนั้น

ความเห็นผู้กำกับ

“ในสถานการณ์ตึงเครียดสุดจินตนาการแบบนั้น (ผู้โดยสาร) ต้องพยายามตั้งสติว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น และพยายามตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะดีที่สุด ความคิดที่โต้แย้งกันว่า เราจะนั่งเฉยรอโชคช่วยหรือควรจะทำอะไรสักอย่าง และถ้าเราทำ มันจะส่งผลอย่างไรข้อถกเถียงที่เราคุยกันหลังเหตุการณ์ 9/11ทั้งเรื่องอัลกออิดะห์ สงครามต้านก่อการร้าย เป็นประเด็นใหญ่โตทั้งนั้น แต่เมื่อนึกถึงคนที่อยู่บนเครื่องบิน 1 ใน 4 ลำที่ถูกจี้ก่อเหตุในวันนั้นล่ะ สมองระดับมนุษย์อย่างเราๆ มันแทบจะไม่สามารถจับต้นชนปลายได้เลยนะ”

รับชม : YouTube, iTunes, GooglePlay

อ้างอิง

Land of Plenty

ประเภท : ภาพยนตร์แนวชีวิต

ผู้กำกับ : วิม เวนเดอร์ส (Wim Wenders)

ปีที่ออกฉาย : ค.ศ.2004

เนื้อหา

อดีตทหารผ่านศึกสงครามเวียดนามที่มีภาวะทางจิต หมกมุ่นกับการต่อต้านผู้ก่อการร้าย เขาจึงหวาดระแวงกับคนที่มีหน้าตาแบบชาวเอเชียตะวันออกกลาง และเกิดการละเมิดสิทธิคนในพื้นที่ด้วยความคิดเรื่องระวังความปลอดภัยจากผู้ก่อการร้ายขณะที่นักสอนศาสนาคริสต์ในกลางลอสแอนเจลิสก็เผชิญผลกระทบจากภาวะสังคมหวาดระแวงก่อการร้ายในอีกรูปแบบ

ภาพยนตร์เรื่องนี้นับว่าสะท้อนสภาพจิตวิทยาสังคมอเมริกันที่ตกอยู่ในภาวะหวาดระแวงหลังจากเหตุวินาศกรรม 9/11 การประกาศสงครามต่อต้านผู้ก่อการร้ายโดยผู้นำอเมริกันและกระแสหวาดระแวงคนเชื้อสายอาหรับและตะวันออกกลางที่เชื่อมโยงกับมุสลิม

ความเห็นผู้กำกับ

“Land of Plenty ไม่ใช่หนังต่อต้านอเมริกันเลย มันเป็นหนังที่พยายามจะรับมือกับความสับสน ความเจ็บปวดและความหวาดระแวงแต่ก็นะคุณจะเอาอะไรล่ะ บุช (จอร์จ ดับเบิลยู บุชประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น) ก็ได้โน้มน้าวให้ทุกคนตั้งแต่วันแรกแล้วว่า คนที่ไม่เห็นด้วยกับสหรัฐฯ ก็คือเป็นผู้ต่อต้านสหรัฐฯ”

อ้างอิง

The Road to Guantanamo

ประเภท : ภาพยนตร์เรื่องยาวนำเสนอในแนว Docudrama

ผู้กำกับ : แม็ต ไวท์ครอส (Mat Whitecross) และ ไมเคิล วินเทอร์บอตทอม (Michael Winterbottom)

ปีที่ออกฉาย : ค.ศ.2006

เนื้อหา

หลังเหตุการณ์ 9/11 หนุ่ม3 คนเชื้อสายปากีสถาน สัญชาติบริติชและนับถือศาสนาอิสลาม ออกเดินทางเพื่อไปเข้าพิธีแต่งงานของ 1 ใน 3 หนุ่มกับเจ้าสาวของเขาที่ปากีสถาน พวกเขาถือโอกาสไปเที่ยวดินแดนอัฟกานิสถานที่มีชายแดนติดกับปากีสถานโดยไม่รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว ทริปผจญภัยนอกเส้นทางนี้กลับกลายเป็นฝันร้าย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพ อาหารเป็นพิษ และสิ่งที่ไม่คาดคิดเมื่อพวกเขาพบว่าไม่เป็นที่ต้อนรับทั้งจากนักรบในพื้นที่และทหารอเมริกันที่ยึดครองอัฟกานิสถานตั้งแต่ค.ศ.2003 เป็นต้นมา และปลายทางสุดท้ายของพวกเขากลับกลายเป็น Camp X-Ray ค่ายกักกันนักโทษของกองทัพสหรัฐฯ ที่อ่าวกวนตานาโม (Guantanamo Bay) ในคิวบา

ประเด็นที่เกี่ยวกับ 9/11

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของพลเมืองอังกฤษเชื้อสายปากีสถาน 3 คนที่สื่อมวลชนอังกฤษเรียกว่า “เดอะ ทิปตัน ทรี”(The Tipton Three) เดินทางในเดือนตุลาคมค.ศ.2001 จากเมืองทิปตัน(Tipton) ไปปากีสถานและลัดเลาะเข้าไปที่เมือง คอนดุซ (Konduz) ทางตอนเหนือของอัฟกานิสถาน ดินแดนยึดครองของกลุ่มพันธมิตรฝ่ายเหนือซึ่งต่อต้านรัฐบาลตาลีบันและทั้งสามก็ถูกกลุ่มพันธมิตรฝ่ายเหนือจับตัวไปคุมขังที่คุกทางตอนเหนือของอัฟกานิสถาน ก่อนส่งตัวให้กองทัพสหรัฐฯซึ่งตั้งข้อหาว่าพวกเขาเป็นคนของกลุ่มอัลกออิดะห์และส่งตัวสามหนุ่มไปคุมขังและผ่านการสอบสวนอย่างทารุณที่อ่าวกวนตานาโมในคิวบาที่เดียวกับที่สหรัฐฯ ใช้คุมขังผู้ต้องหาคดีก่อวินาศกรรม 9/11และเป็นค่ายกักกันที่ตั้งขึ้นโดยรัฐบาลบุชเมื่อค.ศ.2002 เพื่อไล่จับผู้ก่อการร้ายเบื้องหลังเหตุการณ์ 9/11และคดีอื่นๆที่ต่อต้านสหรัฐอเมริกาโดยการก่อตั้งคุกที่คิวบาเพื่อเลี่ยงการละเมิดข้อตกลงเจนีวา

ทั้งสามหนุ่มบริติช-มุสลิมกลายเป็นเหยื่อไปด้วย พวกเขาถูกจองจำและผ่านกระบวนการสอบสวนที่มีการทรมานนักโทษอย่างโหดเหี้ยมยาวนานถึง 2 ปี

ความเห็นผู้กำกับ

The Road to Guantanamo เปิดโอกาสให้บริติช-มุสลิม3 คนนี้ได้เล่าเรื่องจากมุมของพวกเขา รวมถึงเปิดเผยให้เห็นว่าค่ายกักกันสอบสวนผู้ต้องสงสัยอย่างทารุณและละเมิดความเป็นมนุษย์อย่างไร”

อ้างอิง

Zero Dark Thirty

ประเภท : ภาพยนตร์แนวแอ็กชันระทึกขวัญ

ผู้กำกับ : แคทธริน บิเกโลว์ (Kathryn Bigelow)

ปีที่ออกฉาย : ค.ศ.2012

เนื้อหา

มายา เจ้าหน้าที่หญิงนำทีมเจ้าหน้าที่หน่วยราชการลับซีไอเอของสหรัฐฯแกะรอยโอซามา บิน ลาเดน ศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ หลังเหตุการณ์ 9/11 จนพบแหล่งที่ซ่อนตัวแน่ชัด ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคของประธานาธิบดีบารัค โอบามา จึงสั่งการให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษเข้าสังหารเขาทันที

ประเด็นที่เกี่ยวกับ 9/11

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นดราม่าที่อิงจากเหตุการณ์จริงปฏิบัติการตามล่า โอซามา บิน ลาเดน ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ผู้ถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศล่าตัวข้อหาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรม 11 กันยายน ได้สำเร็จหลังตามล่ามายาวนานถึง 10 ปี

หนังฉายภาพตั้งแต่การแกะรอยโดยทีมสายลับซีไอเอจนถึงขั้นตอนสืบสวนที่ใช้การทารุณนักโทษเพื่อเค้นข้อมูลและนาทีที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (หน่วยซีล แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ) ได้เข้าบุกสังหาร โอซามา บิน ลาเดนที่ปากีสถาน ในคืนวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 โดยการปลิดชีวิต โอซามา บิน ลาเดนศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ผู้ต้องหาบงการการก่อวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 เป็นภารกิจที่ยืดเยื้อแต่ก็จบลงในที่สุดและคนที่ทำให้ปฏิบัตินี้สำเร็จคือ ทีมเจ้าหน้าที่หญิงกลุ่มเล็กๆในหน่วยซีไอเอ

เหตุการณ์ในภาพยนตร์และชื่อตัวละครปฏิบัติการและตัวตนทั้งหมดของผู้ร่วมงานเป็นชื่อสมมติขึ้นเพื่อถ่ายทอดอารมณ์เท่านั้น ส่วนตัวตนและปฏิบัติการจริงนั้นมีในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Manhunt: The Inside Story of the Hunt for Bin Laden ภาพยนตร์สารคดี(ค.ศ.2013)ร่วมทุนสร้างโดย HBO กำกับโดย เกรก บาร์เกอร์ (Greg Barker)

ความเห็นผู้กำกับ

“สงครามต้านก่อการร้ายกระทบกับทุกคนทั่วโลก โดยเฉพาะครอบครัวผู้ประสบเหตุการณ์ 9/11 เจ้าหน้าที่กู้ภัยและสายลับพิเศษของกองทัพ เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เล่าเรื่องราวที่ยืดเยื้อมาตลอดช่วง 10 ปีในความมืดตั้งแต่เกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 จนถึงคืนวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 (เมื่อบิน ลาเดนถูกปลิดชีพในที่สุด)”

“ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งฉันอยากจะปิดตา แต่ในฐานะคนทำหนังฉันรู้สึกว่ามันเป็นความรับผิดชอบที่ต้องบันทึกและเป็นประจักษ์พยาน (กับฉากทรมานนักโทษในค่ายที่กวนตานาโมซึ่งมีอยู่จริง) ฉันคิดว่าการที่หนังมันกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยถกเถียงกันจริงจังก็ถือเป็นคำชมนะ แต่แอบผิดหวังอยู่บ้างเมื่อหนังถูกมองผิดประเด็น”

รับชม: Mono Max

อ้างอิง

Fact File

เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ได้เกิด 3 เหตุการณ์ 3 จุดเกิดเหตุโดยเครื่องบินโดยสาร 4 ลำ

  • เหตุการณ์ที่ 1 : เครื่องบินโดยสาร 2 ลำ พุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่นิวยอร์ก
  • เหตุการณ์ที่ 2 : เครื่องบินโดยสาร 1 ลำ พุ่งชนตึกอาคารสำนักงานใหญ่ของกองบัญชาการทหารสหรัฐฯ หรือ เพนตากอน
  • เหตุการณ์ที่ 3 : เครื่องบินโดยสารพร้อมผู้โดยสารสายการบิน ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 (United Airline Flight 93)ตกลงในทุ่งที่รัฐเพนซิลเวเนีย

Author

ทศพร กลิ่นหอม
นักเขียนสายบันเทิง สังคม ท่องเที่ยว และไลฟ์สไตล์ เคยประจำการอยู่ที่ เมเนจเจอร์ออนไลน์ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ และรายการ ET Thailand ปัจจุบันรับจ้างทั่วไป