XL ซิงเกิลล่าสุดจาก SILVY เสียงสะท้อนถึง Beauty Standard มิติใหม่วงการเพลงไทย
- SILVY หรือ ซิลวี่-ภาวิดา มอริจจิ เป็นศิลปินคนล่าสุดของค่าย Warner Music Asia ที่เปิดตัวด้วยซิงเกิล XL เพลงที่หนักแน่นด้วยประเด็น Body Positivity แนวคิดที่ทำให้ซิลวี่หันหลังให้กับ Beauty Standard และกลับมารักตัวเองได้อีกครั้ง
- ผู้ฟังส่งเสียงตอบรับถึง XL โดยมิวสิกวิดีโอมียอดชมถึงล้านวิว ในเวลาราวหนึ่งสัปดาห์
Be your own kind of beautiful
F*ck it we’re all beautiful
S M L but I LIKE IT XL!
นาทีนี้ต้องบอกว่า XL ซิงเกิลล่าสุดจาก SILVY คือผลงานที่น่าจับตามองเพลงหนึ่งในวงการเพลงไทย ไม่ว่าจะด้วยทำนองติดหู เนื้อหาที่สื่อสารหรือความสับไฟลุกของมิวสิกวิดีโอที่เรียกพลังได้ตั้งแต่ซีนแรก พร้อมปลุกความมั่นใจให้คนฟังแบบคูณร้อย ส่งผลให้เสียงตอบรับออกมาดีแบบที่ผู้ฟังหลายคนกล่าวถึงว่า นี่แหละคือสิ่งที่ประเทศไทยกำลังต้องการ
Old Silvy – She is gone
SILVY หรือ ซิลวี่-ภาวิดา มอริจจิ เจ้าของผลงานคือศิลปินไทยลูกครึ่งอิตาลี วัย 25 ปี ศิลปินคนล่าสุดของค่าย Warner Music Asia ซึ่งแน่นอนว่า XL คือซิงเกิลเปิดตัวที่ ซิลวี่ ได้แสดงออกถึงตัวตนแบบที่ซิลวี่ต้องการจะเป็นจริง ๆ เธอกล่าวว่า XL ใช้เวลาในการแต่งเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้นโดยที่ไม่ต้องสวมวิญญาณอะไรเลย เพราะด้วยจุดยืนที่เธอได้รับ ทำให้มีภาพชัดเจนว่า สาร ที่ต้องการสื่อที่สุดคือ Body Positivity แนวคิดที่ทำให้เธอหันกลับมารักตัวเองได้อีกครั้ง
แต่หากย้อนเวลากลับไปสิบปีก่อน ภาพแรกในวงการบันเทิงที่หลายคนจดจำ SILVY คือ ซิลวี่ The Star 7 เด็กหญิงวัย 15 ปีจากจังหวัดภูเก็ตที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พร้อมความฝันอยากเป็นศิลปิน ความฝันที่เธอรับรู้และเชื่อว่าตัวเองทำได้ดีมาเสมอ จากหลักไมล์ที่สะสมผ่านเวทีประกวดมาตั้งแต่เด็ก แต่วันหนึ่งความมั่นใจในความสามารถกลับโดนฝังกลบด้วยมาตรฐานความงามที่จำเป็นต้องผอมหุ่นดีเท่านั้นถึงจะเฉิดฉายได้ในวงการบันเทิง นั่นทำให้ “การลดน้ำหนัก” หรือ “หุ่นดี” กลับกลายเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า “ความสามารถ” ที่เธอมี
ตอนนั้นซิลวี่ตั้งคำถามหรือยังว่า ทำไมต้องผอมถึงจะอยู่ในวงการบันเทิงได้
เราตั้งคำถามตั้งแต่แรกเลยว่า ทำไมร้องเพลงดีอย่างเดียวไม่ได้ ตัวเราเองหรือแม้แต่ครอบครัวไม่เคยคิดเลยว่าความอ้วนหรือรูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นอุปสรรคขนาดนั้น เพราะเราอาจไม่ได้ให้ค่าในแง่นั้น เรามั่นใจในตัวเองว่าเรามีความสามารถ แต่อยู่ในวงการมาสักพักเราถึงรู้ว่ามีหลายอย่างให้ต้องคิด
ตลอด 10 ปีในวงการบันเทิงที่เจอการตีกรอบมากมาย ทำไมซิลวี่ถึงยังคงยืนหยัดบนเส้นทางนี้
เพราะเราเห็นว่าเรามีค่ามากกว่าสิ่งที่เราได้รับ เรารู้สึกว่าคนอื่นไม่ได้มองเห็นสิ่งที่เราเป็นว่าเรามีดีขนาดไหน เราเลยไม่หยุดทำและยิ่งผลักตัวเองให้คนยิ่งเห็นมากขึ้น เหมือนการพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าเราเจ๋งจริง
ซิลวี่เป็นศิลปินอิสระมา 2-3 ปี จุดไหนที่ทำให้กลับมาทำเพลงอย่างจริงจังอีกครั้งในสังกัดค่าย Warner Music Asia
พูดตรง ๆ คือตั้งแต่หมดสัญญากับค่ายเก่าเราหมดหวังในการเป็นศิลปินแล้ว แต่สิ่งเดียวที่รู้คือเราจะไม่พึ่งใครแล้ว อยากให้คนเห็นว่าเราเก่งและมีจุดยืน เราเลยเริ่มทำยูทูบแชนเนลขึ้นมา และก่อนหน้านั้นก็ไปสมัครรายการ The Voice Thailand 6 เพื่อให้คนกลับมาเห็นเราในลุคใหม่และอยากเดินหน้าทำตามความฝันอีกครั้ง
2 ปีก่อน ตอนเริ่มทำช่องยูทูบเราคิดเลยว่าจะไม่ละทิ้งความฝัน ต่อให้ไม่มีผู้ใหญ่หรือใครดันก็จะทำ เราเลยทุ่มแรงใจทำยูทูบมาก จนเมื่อปีที่แล้วได้รู้จักกับ Karma Sound Studios เพราะ Valentina Ploy เพื่อนที่ประกวดเดอะวอยซ์ด้วยกันเป็นคนแนะนำ เขาเป็นสตูดิโอที่อยากปั้นศิลปินและส่งให้ค่าย ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบแรนดอมมากที่อยู่ ๆ เราก็ได้รู้จักกัน ถูกชะตาแล้วเขาก็บอกว่าเรามาลองทำเพลงกันดู ซึ่งเราก็คิดว่าไม่เสียหาย แล้วเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเราทำยูทูบมา 2 ปีและทำได้ดีขนาดไหน เราไปที่สตูดิโอของเขาและแกล้ง ๆ แต่งเพลงกันดูว่าเวิร์กไหม พอแต่งเท่านั้นแหละ เราก็รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ เราเลยเริ่มมีความฝัน เริ่มรวบรวมความมั่นใจในการอยากเป็นศิลปินกลับมา
คนที่แต่งเพลง XL คือ ซิลวี่, วาเลนตินา พลอย, Stephen David Jones และ Richard Craker ทุกคนช่วยกันเบรนสตอร์มและทำให้เพลงนี้เกิดขึ้น ทาง Karma Sound Studios เขาให้อิสรเสรีในการรับฟังไอเดียและความคิดเห็น ทางโปรดิวเซอร์ (Richard Craker) ก็ถามว่าเราอยากสื่อสารอะไรในเพลง พูดง่าย ๆ มันคือการร่วมมือกันของคนที่ Open Minded มาก ๆ รวมถึงทาง Warner Music Asia ด้วยที่เชื่อมั่นในงานของเราและให้เรามีพื้นที่ในการออกไอเดียนี้
ซิลวี่เจอคำว่า Body Positivity และเริ่มสื่อสารเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อไร
น่าจะ 2-3 ปี ตั้งแต่ตอนที่เริ่มเป็นศิลปินอิสระและเริ่มหาทางที่จะใช้ชีวิตให้ตัวเองรู้สึกมีคุณค่า เพราะตอนที่เราออกมาเป็นอิสระเรารู้สึกเคว้งคว้าง อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อหันมารักตัวเอง เลยเริ่มจากการแต่งตัวอะไรที่ไม่เคยแต่ง ตัดผมที่ไม่เคยลองตัด ตอนที่เราไปประกวด The Voice Thailand 6 คือช่วงแรกเลยที่เราเริ่มรู้จักซิลวี่ในอีกแบบหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าเราค่อย ๆ มี Self-Love ในแง่ของการหาตัวตนเจอแล้วเราก็รักมันเหลือเกิน
ซิลวี่เคยเล่าไว้ในช่องยูทูบของตัวเองว่าผ่านเวทีประกวดใหญ่มา 3 ครั้งคือ The Star 7, The Voice Thailand 6 และ The Mask วรรณคดีไทย ซึ่งแต่ละครั้งคือเวอร์ชันที่เป็นตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ อะไรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้กล้าลุกขึ้นมาเป็นตัวเอง
เรากล้ามากขึ้นเพราะเราลองอยู่เรื่อย ๆ ณ ตอนนั้นที่เราไปแต่ละรายการ เราไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์สักอย่างเลยนะ ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำก็เหมือนกัน แต่เราทำเพราะเราอยากลองดู อย่าง XL ที่เพิ่งออกมาเราก็ไม่ได้คิดว่า ปังแน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เอาเลย เราไม่ได้คิดแบบนั้น แต่เราคิดว่า เอาวะ ลองดู คือเราเป็นคนดื้อ เรากลัว แต่เราก็ Do It Anyway มันเลยค่อย ๆ สะสม เราว่า Journey นี้ทุกคนจะต้องลองหา ลองทำกับตัวเองแล้วถึงจะมั่นใจว่าแบบไหนที่โอเค มันเป็นเรื่องที่เราต้องหาเองจริง ๆ
ในจุดที่เรามั่นใจในร่างกายและตัวตนของเราแล้ว แต่ Beauty Standard ในสังคมยังคงแข็งแรงและยังมีคนวิพากษ์วิจารณ์ในทางไม่ดีอยู่ เราอยู่กับสิ่งเหล่านี้อย่างไร
เรามองว่าทุกอย่างมีความสวยงามในแบบของตัวเอง การที่คนมาพอยต์เรื่องไม่ดีหรือดึงแต่ภาพลบของคนคนนั้นออกมามันคือการบูลลีแล้วแหละ มันคือการที่คุณนิสัยไม่ดีแล้ว เพราะฉะนั้นเราแค่ไม่ต้องให้ค่ากับคนที่มีความคิดลบหรือว่าโลกเขาแคบ เราต้องทำจิตใจตัวเองให้เข้มแข็ง เพราะการที่เราเป็นมาได้จนถึงทุกวันนี้ มันไม่ใช่เพราะเรามีคนชอบเยอะเหลือเกิน หรือมีคนว่าเราน้อย มันไม่ใช่นะ เรายังเจอ Hate Comment อยู่ XL เองก็ยังมี แต่แค่ที่ผ่านมาเราหล่อหลอมตัวเองตั้งไม่รู้กี่ปีด้วยจิตใจที่มั่นคงและเข้มแข็งมากว่าเราจะให้ค่าความคิดแบบไหน ถ้าเราให้ค่าความคิดลบ เราก็รู้สึกได้แต่เราต้องรีบตัดมันให้เร็วและรีบเติม Positivity ให้ตัวเอง เราต้องรีบหาข้อดีของตัวเองและเรียนรู้ที่จะรักตัวเองในแบบที่ตัวเองเป็น
ซิลวี่พูดเสมอว่าคุณแม่คือ Support System ที่ดีมาก ในแง่ Body Positivity คุณแม่มีส่วนสำคัญอย่างไรบ้าง
แม่เราเป็นคนคล้าย ๆ เราเลย (หัวเราะ) เป็นคนแต่งตัวไม่ค่อยแคร์อะไรเท่าไร เราเลยคิดว่าบ้านเราน่าจะชิล ๆ ทำอะไรก็ทำ เป็นตัวของตัวเองได้ แม่เป็นอย่างไรเราก็ไม่เคยไปบอกให้แม่ต้องเปลี่ยน เราเป็นอย่างไรแม่ก็ไม่เคยก้าวก่าย จะมีแค่ตอนที่ขอสักครั้งแรกตอนอายุ 15 ปี เขาก็ไม่ได้โอเคตั้งแต่แรกนะ แต่พอเขาเห็นว่ามันไม่ได้เดือดร้อนอะไรก็แค่รอยสักและมันคือศิลปะ หลังจากนั้นเขาก็ชอบการสักลายและเขาก็ไปสักด้วย (หัวเราะ) แม่ใส่บิกินีครั้งแรกก็เพราะเราเหมือนกัน ต่างคนต่างสนับสนุนกันและกัน เลยคิดว่าเราเป็นบ้านที่ค่อนข้างเข้าใจเรื่องความชอบส่วนตัวที่เขาก็มีของเขา เราก็มีของเรา ไม่ก้าวก่ายกัน
เรื่องการแต่งตัวเคยโดนห้ามบ้างหรือเปล่า
ไม่มี ทุกชุดแม่จะเห็นก่อนตลอด ช่วงแรก ๆ ที่เราเริ่มใส่บิกินี แม่เป็นคนแรก ๆ เลยที่เราเข้าไปถามว่าอันนี้โป๊ไปหรือเปล่า น่าเกลียดไหม แม่ก็จะบอกว่าไม่น่าเกลียด มันน่าเกลียดตรงไหน ใส่บิกินีที่ทะเลฝรั่งเขาก็ทำกัน เราเลยได้อิทธิพลตรงนี้มาว่าถ้ามันเหมาะสมก็โอเคแล้ว อย่างที่เราใส่ High Cut ในเอ็มวี XL ก็เพราะว่าเราต้องการจะโชว์เรื่องนี้ ถ้าเราไม่ใส่ชุดให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งขนาดนั้น เมสเสจที่สื่อออกไปก็ไม่ชัดเจน ซึ่งเรามองแล้วว่ามันเหมาะสมก็คือจบ
ปล่อยเพลงออกมาแล้ว มีคนรัก XL เยอะมากรู้สึกอย่างไรบ้าง
ซิลวี่รู้สึกดีใจและตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่ากระแสตอบรับจะดีขนาดนี้ ตอนแรกที่เราทำโปรเจกต์นี้กันเราคิดว่าจะส่งออกแถบเอเชีย ไม่ค่อยได้นึกถึงพื้นที่ที่เราอยู่ตอนนี้ ในประเทศไทยเราไม่ได้คิดว่าจะมีคนสนใจเพราะเราเองก็เงียบไปนาน เราเลยไม่ได้คาดหวัง แต่เป็นคนไทยทั้งนั้นเลยที่บอกว่ากำลังรอสิ่งนี้อยู่ กำลังรอวิวัฒนาการของวงการเพลง วงการสื่อสาร มันทำให้เห็นว่าโลกเรากำลังหลากหลายมากขึ้นและเปิดกว้างรับสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น
มิวสิกวิดีโอออกมาอิมแพ็กมาก ซิลวี่ติดต่อนักออกแบบท่าเต้น (Choreographer) เองเลยใช่ไหม ทำไมถึงต้องเป็น Thanyarita
ใช่ เขาคือคนที่เราเห็นเป็นต้นแบบอยู่แล้ว เราไปเรียนเต้นกับเขาเพราะรู้สึกว่าพี่คนนี้แซบจัง เป็นคนที่เรายกย่อง ยกไว้ขึ้นหิ้งเลยว่า เราจะต้องมั่นใจให้ได้เท่าพี่คนนี้ ทุกมูฟเมนต์ที่เขาทำคือเขาไม่ใส่ใจในความคิดว่าคนอื่นจะมองว่าเขาเป็นอย่างไรเลย เขาเอ็นจอยและเต็มที่ในมูฟเมนต์ เขาคือคนที่เราเห็นว่าผู้หญิงที่มั่นใจคือคนที่น่ามองที่สุด เราเลยรู้สึกว่าเขาน่าจะเหมาะมากกับสิ่งนี้ที่เรากำลังสื่อสาร
จาก Reaction มิวสิกวิดีโอในยูทูบช่อง “แหม่เฮ้ย Channel” เทรย์ซี หนึ่งในคนที่อยู่ในเอ็มวีนี้บอกว่าตอนถ่ายทำทุกคนแฮปปี้มาก และไม่มีใครรู้สึกเลยกับเรื่องไซซ์
ใช่ เราชอบมากที่พี่เทรย์ซีบอกว่าคนที่อยู่ในเอ็มวี คือคนที่เคยผอมมาหมดแล้ว เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เคยตะบี้ตะบันเพื่อลดน้ำหนักและวิ่งตามสแตนดาร์ด เขาบอกว่าทุกคนในที่นั้นคือคนที่เคยผอม แต่ ณ วันนี้ที่อ้วน ความสามารถของเขามันเท่ากับตอนที่ผอมเลยนะ และเขายังเอ็นจอยในการเต้นเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะสื่อคืออย่ารอที่จะมีความสุขแค่ตอนผอม อ้วนก็มีความสุขได้ มั่นใจและยังเอ็นจอยกับชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป เราสามารถทำได้และสามารถแฮปปี้แบบนั้นได้จริง ๆ
สิ่งที่ดีใจที่สุดในการตัดสินใจทำเพลงนี้คืออะไร
ความกล้าฉีกของตัวเอง ดีใจมากที่กล้าทำแล้วก็ไม่คาดหวังกับผลตอบรับเพราะถ้าคาดหวัง เราไม่มีวันได้ทำออกมาแน่นอน เราจะมัวแต่คิดว่าคนจะบอกว่าโป๊ไปไหม คนจะเข้าใจสิ่งที่เราจะสื่อสารหรือเปล่า เขาจะรับได้ไหมกับเมสเสจที่เอาคนรูปร่างแบบนี้มาเต้น เขาจะเก็ตไหมว่าแบบนี้จะสวย ถ้าเรามัวแต่โฟกัสเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นในหัว เราตายนะ เราไม่ได้ทำสักทีแน่ ๆ เราเลยขอบคุณความกล้าของตัวเองที่มองในแง่บวกเสมอกับเรื่องนี้แล้วก็เชื่อมั่นในทีมว่าสิ่งที่เราทำมาจาก Good Heart และเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะสามารถทำให้คนอื่น คือเราไม่ได้คาดหวังสิ่งไม่ดีกับคนอื่น เราคาดหวังจะนำเสนอสิ่งดี ๆ เพราะฉะนั้นเราขอบคุณในความกล้าและความเชื่อมั่นในทีมและในตัวเองด้วย
ภาพ : Warner Music Asia
Fact File
- ติดตาม SILVY ได้ทาง Facebook : SilvyPavida
- Instagram : silvypavida
- Twitter : silvymusic_
- Tiktok : silvymusic.official
- Youtube : SILVYmusicofficial