ฮัสกี้หน้าโง่ฯ เรื่องราวของสุนัขโง่งมที่ก้าวสู่จอมราชัน ซึ่งคนทั้งโลกต้องสยบยอม
Lite

ฮัสกี้หน้าโง่ฯ เรื่องราวของสุนัขโง่งมที่ก้าวสู่จอมราชัน ซึ่งคนทั้งโลกต้องสยบยอม

Focus
  • ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา นิยายวายจีนความยาว 10 เล่มจบ เขียนโดย โร่วเปาปู้ชือโร่ว แปลไทยโดย BouPtrn
  • แม้จะเป็นนิยายวาย แต่เรื่องนี้กลับสอดแทรกประเด็นเชิงโครงสร้างสังคม การเมือง และสะท้อนความดำมืดของมนุษย์ออกมาได้อย่างแยบยล ไม่ได้มีเรื่องรักหวานโรแมนติกอย่างที่หลายคนคาดหวังจากนิยายวาย

แม้รัฐบาลจีนมีข้อบังคับห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับรักร่วมเพศ ความรุนแรง และเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา นิยายวายจีนความยาว 10 เล่มจบ เขียนโดย โร่วเปาปู้ชือโร่ว สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดดังกล่าว เผยแพร่เนื้อหาบนเว็บไซต์ออนไลน์ของจีน สอดแทรกประเด็นเชิงโครงสร้าง และสะท้อนความดำมืดของมนุษย์ออกมาได้อย่างแยบยลประกอบกับการดำเนินเรื่องราวที่เข้มข้น ลุ้นระทึก ความสัมพันธ์ที่น่าติดตามของสองตัวละครชายอย่าง โม่หราน ผู้เป็นศิษย์และ ฉู่หว่านหนิง ผู้เป็นอาจารย์ ก็ทำให้มีนักอ่านมากมายที่กดเข้าไปติดตามจนได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทั้งในประเทศและนอกประเทศรวมถึงนักอ่านชาวไทย

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เป็นเรื่องราวการกลับมาเกิดใหม่ของ โม่หราน ผู้คุ้นชินกับความชั่วร้ายอำมหิตและผู้เป็นปฐมราชันแห่งโลกบำเพ็ญเพียร (โลกของผู้ฝึกตนเพื่อเป็นเซียน) หลังจากฆ่าตัวตาย ตอนที่เขายังไม่เป็นจอมราชัน ผู้คนล้วนก่นด่าว่าเขาเป็น สุนัข และเขาก็ยอมรับว่าเขาเป็นเพียงแค่สุนัขโง่งมตกอับไร้ที่พึ่งตัวหนึ่งจริง ๆ แต่ในวันที่ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนก้มหัวให้เขา เขาตระหนักได้ทันทีว่าผู้มีอำนาจเท่านั้นที่จะสามารถยืนหยัดอยู่บนโลกอันโหดร้ายใบนี้ได้อย่างมั่นคง นิยายเรื่องนี้สร้างเป็นซีรีส์แล้ว นำแสดงโดย เฉินเฟยอวี่ และ หลัวอวิ๋นซี

เมื่อไร้อำนาจชีวิตก็ไม่ต่างจากลูกหมาตัวน้อย

สมัยที่โม่หรานยังเด็ก มารดาของเขาใช้ชีวิตด้วยการร่ายรำอยู่บนยอดไผ่หนึ่งลำแลกกับความสุขสำราญของเหล่าเศรษฐี หากพลาดพลั้งตกลงมา นางก็จะโดนเศษกระเบื้องและก้อนกรวดแทงบาดเนื้อ ซึ่งยิ่งทำให้คนดูตื่นเต้นและก็จะยิ่งได้รับเศษอัฐเพื่อนำไปซื้อแป้งย่างหนึ่งแผ่นและโจ๊กสองชามแบ่งกันกับลูก แต่เมื่อเวลาผ่านไปความน่าตื่นเต้นนั้นก็เริ่มกลายเป็นความจำเจซ้ำซาก ผู้คนเริ่มเบื่อหน่าย ทำให้นางไม่ได้แม้แต่เหรียญทองแดงสักเหรียญเพื่อนำไปซื้อแป้งย่าง จากนางรำจึงต้องกลายเป็นขอทาน

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา

วันหนึ่งโม่หรานบังเอิญเจอคุณชายน้อยที่อายุไล่เลี่ยกับเขากำลังนั่งกินเกี๊ยวทอด คุณชายน้อยผู้นั้นเลือกกินยิ่งนัก เขากินเกี๊ยวเข้าไปแล้วคายแป้งเกี๊ยวออกโยนไปให้สุนัข โม่หรานเห็นดังนั้นจึงเข้าไปขอแป้งเกี๊ยวที่คุณชายผู้นั้นไม่กินแล้ว

“ถ้าหมายังไม่มีกิน แล้วจะให้เจ้าได้อย่างไร!” 

คุณชายน้อยผู้นั้นกล่าวพร้อมทั้งยังให้บ่าวมาขับไล่เด็กขอทานสกปรกตรงหน้าออกไป โม่หรานหยิบฉวยเกี๊ยวมีไส้มาได้สองชิ้นหวังนำไปให้มารดา แต่ยังไม่ทันได้เอาเกี๊ยวไปกิน บ่าวรับใช้ของคุณชายน้อยก็เหยียบเกี๊ยวสองชิ้นนั้นจนแหลก มองเห็นความทุกข์ตรงหน้ากลายเป็นเรื่องขบขัน

เมื่อโม่หรานเติบโตมีเหตุการณ์ที่ทำให้เขากลายเป็น ท่าเซียนตี้จวิน* ปฐมราชันแห่งโลกบำเพ็ญเพียร ทั่วทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินล้วนเป็นของเขา หลังจากที่เขาปราบสิบสำนักใหญ่แห่งโลกบำเพ็ญเพียร หมื่นพสกก็ยอมศิโรราบ ผู้ใดไม่คุกเข่าให้จอมราชันล้วนถูกสังหาร ไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจ และเมื่อกำราบจอมราชันผู้นี้ไม่ได้ เหล่าคนอ่อนแอล้วนทำได้เพียงนำสมบัติมาขอตำแหน่งหรือขอความคุ้มกันจากโม่หราน 

วันหนึ่งมีพ่อค้าร่างท้วมนำหยกล้ำค่ามาถวาย โม่หรานนั่งมองชายผู้นั้นจนอีกฝ่ายเข่าอ่อน คุกเข่า โขกศีรษะ เรียกตัวเองว่า ‘ข้าน้อย’ จนโม่หรานยิ้มออกมา แม้พบกันเพียงครั้งเดียว แต่โม่หรานไม่เคยลืม

“เจ้ารู้หรือไม่ เกี๊ยวทอดของบ้านเจ้าอร่อยยิ่งนัก” 

โม่หรานนั่งอยู่บนบัลลังก์ มองคนเบื้องล่างที่ทั้งหวาดกลัว ทั้งตื่นตระหนก แต่กลับพล่ามคำสอพลอไม่หยุด บอกจะเชิญพ่อครัวในจวนมาทำเกี๊ยวมอบให้เขาเดี๋ยวนี้ ชั่วขณะนั้นโม่หรานตระหนักได้ชัดเจนกว่ายามใดว่า ที่แท้บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่ยอมคุกเข่าเลียรองเท้าของผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่าที่จะก้มหน้าหยิบยื่นความเห็นอกเห็นใจและความปรารถนาดีแม้เพียงเศษเสี้ยวให้ผู้ที่อ่อนแอ

ว่าด้วยเรื่องของอำนาจและความเห็นอกเห็นใจ

ครั้งหนึ่งสมัยที่โม่หรานคิดว่าตัวเองเป็นหมาน้อยแสนโง่เขลา เขาเคยคิดว่าหากภายภาคหน้าเขาได้ดี เขาจะสร้างบ้านเยอะ ๆ ให้คนที่ไม่มีบ้านได้อยู่ ปลูกข้าวปลูกพืชผักเยอะๆ ให้คนที่ไม่มีกินได้กินอิ่ม เพื่อที่จะได้ไม่มีคนที่เป็นเหมือนเขาในวันนั้น แต่นั่นคือตอนที่เขายังเป็นเพียงสุนัขโง่งมต่ำช้าไร้ซึ่งอำนาจ

จากหนังสือเรื่อง The Power Paradox: How we gain and Lose Influence โดย ดร.ดาเชอร์ เคลต์เนอร์ (Dacher Keltner) ระบุว่าความเห็นอกเห็นใจเป็นการรวมกันของความสามารถสองอย่างคือ การแบ่งปันสิ่งที่คนอื่นรู้สึก และการทำความเข้าใจความรู้สึกนั้น เช่น เมื่อมีคนเริ่มร้องไห้ และมันทำให้คุณรู้สึกอยากร้องไห้ แสดงว่าคุณกำลังแบ่งปันปฏิกิริยาหรือประสบการณ์ นั่นคือส่วนแรกของการเอาใจใส่ ส่วนที่สองคือการพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมคนคนนี้ถึงร้องไห้ ซึ่งผู้มีอำนาจมักมีระดับความเห็นอกเห็นใจที่ต่ำกว่าผู้ที่ไม่มีอำนาจ เขาเชื่อว่าตนเองสูงส่งและแตกต่างจึงมักไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้าง 

ใน The Power Paradox ยังได้โยงเรื่องความเห็นใจนี้เข้ากับเรื่องอำนาจว่า เมื่อใดที่คนมีอำนาจในมือ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ พฤติกรรมของคนเหล่านั้นจะเปลี่ยนไป พวกเขาจะเริ่มทำอะไรบางอย่างเพื่อประโยชน์ตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกบ่อยขึ้น เริ่มหยาบคาย หุนหัน และเห็นอกเห็นใจผู้อื่นน้อยลง ซึ่งใจของโม่หร่านก็กำลังเกิดสิ่งนี้ขึ้นเช่นกัน เมื่อเขาเปลี่ยนจากหมาน้อยกลายมาเป็นผู้มีอำนาจ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่เขาเคยคิดไว้แต่แรกก็เริ่มกลับด้าน

จอมราชันผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความหวาดกลัว

เคยมีคนด่าโม่หรานว่าต่ำช้า ทว่าเขากลับรู้สึกว่าคำพูดอาบยาพิษนี้มิได้ทำร้ายศักดิ์ศรีของเขาแต่อย่างใด เพราะเขาคือคนต่ำช้าแต่มีอำนาจ และจอมราชันผู้มีอำนาจเหลือล้นคนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ต่างจากจอมอันธพาลที่ปกครองใต้หล้าโดยสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คน แผ่นดินกว้างใหญ่ตกอยู่ในความมืดมิด เฉกเช่นเดียวกับสังคมจริงที่ก็ยังมีอำนาจ ผู้ปกครอง ใช้ความหวากลัวในการปกครอง เช่นเดียวกับฝรั่งเศสซึ่งมียุคสมัยหนึ่งถูกเรียกว่า “ยุคสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว” (The Reign of Terror) ช่วงปี ค.ศ. 1793-1794 หลังจากที่ฝรั่งเศสปลดแอกจากสถาบันกษัตริย์ก็กลับสู่ยุคมืดอีกครั้งเมื่อนักกฎหมายชื่อดัง มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ (Maximilien Robespierre) ไล่กวาดต้อนผู้คนที่เห็นต่าง ตั้งคำถามโดยไร้หลักฐาน ใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ขัดขืน เพราะเชื่อว่าในการเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครอง เขาจำเป็นต้องปกครองบ้านเมืองให้อยู่ในภาวะสงบเรียบร้อย เขาจึงประหารผู้คนเหล่านั้นด้วยกิโยติน ในข้อหาผู้เป็นศัตรูแห่งการปฏิวัติขัดขวางการพัฒนาของประเทศ

มักซีมีเลียงถูกจับเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1794 และในอีกสองวันต่อมาคือวันที่ 28 กรกฎาคม มักซีมีเลียงและพรรคพวกถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยกิโยตินโดยไม่ผ่านการไต่สวนตามกระบวนการยุติธรรม เหมือนก่อนหน้านี้ที่เขาเคยพิพากษาประชาชนนับหมื่นคนท่ามกลางเสียงก่นด่าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของผู้คน 

จอห์น ออสติน (John Austin) นักทฤษฎีกฎหมายในศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษ ได้อธิบายว่า หากประชาชนทั้งหมดต้องการทำลายรัฐบาลและเต็มใจทนต่อการปราบปรามได้ เมื่อนั้น ความแข็งแกร่งของรัฐบาลย่อมเสื่อมถอยลง รัฐบาลอันเป็นที่เกลียดชังจะดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้ ซึ่งนั่นแปลว่าประชาชนจะไม่ยอมตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวอีกต่อไป

จุดจบของจอมราชัน

ความไม่สงบในโลกบำเพ็ญเพียรปะทุขึ้น เกิดสงครามนองเลือด ภัยพิบัติปกคลุมทุกหย่อมหญ้า สำนักเซียนถูกฆ่าล้างสำนัก แม้แต่อาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้เขา อย่างฉู่หว่านหนิง ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกนี้ก็ยังถูกศิษย์รักจอมอันธพาลนำไปกักขังทรมาน ผู้ผดุงคุณธรรมในยุทธภพที่ยอมสยบให้จอมราชันผู้นี้มาเกือบสิบปีก็รวมตัวกันก่อตั้งกองทัพ บีบให้ผู้เป็นปฐมราชาสละอำนาจ ดังตอนหนึ่งใน ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา กล่าวไว้

เพราะโลกบำเพ็ญเพียรไม่ต้องการราชา โดยเฉพาะทรราชเช่นนี้

หมายเหตุ: *ตี้จวิน : คำเรียกยกย่องเทพเจ้า ในนิยายแปลว่าราชันเหยียบเซียนแห่งโลกบำเพ็ญเพียร

Fact File

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา (10 เล่มจบ)

ผู้เขียน : โร่วเปาปู้ชือโร่ว 

ผู้แปล : BouPtrn

สำนักพิมพ์ : Rose

อ้างอิง

The Reign of Terror

ความกลัว

อำนาจ

นิยายวายจีน


Author

วิวิศนา อับดุลราฮิม
Introvert ผู้เสพติดการอ่านนิยายดราม่า ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตไปกับการติ่ง k-pop และ c-pop