เลี้ยงลูกฉบับ The Penthouse เมื่อความรักของแม่กำลังพังทลายลูก
- ซีรีส์เรื่อง The Penthouse มีทั้งหมด 3 ซีซันเป็นผลงานของผู้กำกับ จูดงมิน และนักเขียน คิมซอนอ๊ก ทั้งคู่เคยฝากผลงานไว้ในซีรีส์อิงประวัติศาสตร์เรื่อง Empress Ki
- The Penthouse นำแสดงโดย อีจีอา คิมโซยอน และยูจีน โดยในซีซัน 2 ได้เรตติงสูงสุด 29.2% ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 8 ของซีรีส์เกาหลี 50 อันดับสูงสุดต่อผู้ชมทั่วประเทศ (Top 50 Korean Television Series per Nationwide Viewers)
เรื่องราวของ The Penthouse เริ่มต้นขึ้นด้วยเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในสถานที่ที่ชื่อว่า เฮราพาเลซ เมื่อการสืบหาความจริงมากขึ้นเท่าไรความลับที่พยายามปกปิดก็ยิ่งถูกเปิดเผยออกมากขึ้นเท่านั้นนอกจากซีรีส์เรื่องนี้จะพาผู้ชมลุ้นระทึกไปกับการสืบหาความจริงและการแก้แค้นของตัวละครในเรื่องแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่ The Penthouse ถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก ที่แม่นั้นรักลูกเต็มเปี่ยม แต่กลายเป็นว่าความรักนั้นกำลังพังทลายลูกเป็นเสี่ยงๆ
ความหวังของฉัน คือฝันร้ายของเธอ
“ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ต้องปกป้องลูกให้ได้ เพราะเธอคือแม่บางครั้งแม่ก็ทำเรื่องร้าย ๆ เพื่อลูกได้ จริงไหม…คนเป็นแม่ต้องพร้อมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูก”
“แต่ในบางครั้ง สิ่งที่แม่ตั้งใจทำเพื่อลูก ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ลูกต้องการเสมอไป”
(จากบทละครตอนหนึ่งของ The penthouse ซีซัน1 และ 2)
The Penthouse เดินเรื่องโดย ชอนซอจิน (นำแสดงโดย คิมโซยอน) ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นนักร้องเพลงคลาสสิกที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของประเทศ มีพร้อมทั้งหน้าตา ความสามารถ อำนาจ และสถานะทางสังคม เธอเปรียบได้กับหัวเรือหลักของครอบครัวที่คอยควบคุมและจัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ต้องการ ซึ่งรวมถึงชีวิตของสามีอย่าง ฮายุนชอล (รับบทโดยยุนจงฮุน) และลูกสาวอย่าง ฮาอึนบยอล (รับบทโดยชเวเยบิน)
“แกต้องได้ที่หนึ่งตอนสอบเข้า… แกต้องซ้อม ร้องแล้ว ร้องอีก แม้แต่ในฝันก็ต้องร้อง”
ชอนซอจินตีกรอบชีวิตของอึนบยอลลูกสาวที่เธอรักที่สุดในหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้อึนบยอลเดินตามรอยของเธอในการเป็นนักร้องเพลงคลาสสิกที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศ เพราะความสำเร็จของอึนบยอล นอกจากจะสร้างความภาคภูมิใจให้ตัวของซอจินและอึนบยอลเองแล้ว สิ่งนี้ยังเป็นหลักประกันที่แสดงถึงความมั่นคงในตำแหน่งผู้อำนวยการ มูลนิธิชองอา ต่อจากพ่อชอนซอจินอีกด้วย
แม้ว่าฮาอึนบยอลจะใช้ชีวิตตามที่แม่ของเธอต้องการเสมอมา และก็ไม่เคยแสดงท่าทีต่อต้าน รวมทั้งยังเชื่อฟังคำสั่งของซอจินเป็นอย่างดีตลอดมา ขยันฝึกฝนและพัฒนาทักษะการร้องเพลง มีเป้าหมายในชีวิตคือเป็นที่หนึ่งในการสอบ และเข้ามหาวิทยาลัยดนตรีโซลให้ได้ซึ่งในตอนแรก ชอนซอจินก็มั่นใจในทักษะการร้องเพลงของลูกสาวตัวเองระดับหนึ่ง แต่ความมั่นใจนั้นก็ค่อย ๆ หายไป แล้วก่อเกิดกลายเป็นความกลัวขึ้นมา เมื่อทั้งคู่ได้พบกับ แบโรนา (รับบทโดย คิมฮยอนซู) ลูกสาวของ โอยุนฮี (รับบทโดย ยูจีน) อดีตคู่แข่งและศัตรูของชอนซอจิน
แบโรนาเป็นเด็กสาวมัธยมต้นที่มาจากครอบครัวธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่เรียนเก่งและมีพรสวรรค์ในการร้องเพลงเหมือนกับโอยุนฮีในอดีต เมื่อซอจินได้ฟังเสียงของแบโรนายามร้องเพลงคลาสสิก เหตุการณ์ความพ่ายแพ้ต่อโอยุนฮีในอดีต และชัยชนะจอมปลอมที่เคยได้รับก็ฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำของเธออีกครั้ง ความกลัวและความอับอายของชอนซอจินในอดีต ก็แปรเปลี่ยนเป็นความกดดันและความคาดหวังที่มากขึ้นผ่านลูกสาวอย่างฮาอึนบยอล
ความกดดันของแม่ส่งให้อึนบยอลเริ่มกดดันตัวเองโดยไม่รู้ตัว เธอใช้ชีวิตโดยมีเป้าหมายเดียวนั่นก็คือสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายศิลปะชองอาเป็นอันดับหนึ่ง เพื่อที่จะได้ร้องเพลงในพิธีเปิดการศึกษาตามที่แม่ต้องการ แต่ในวันสอบเข้า อึนบยอลกลับเห็นแต่ภาพหลอนและได้ยินแต่คำพูดกดดันของแม่จนเสียสมาธิในการร้องเพลง และทำพลาดในที่สุด จนชอนซอจินต้องทุจริตคะแนนการสอบร้องเพลง เพื่อให้อึนบยอลสามารถเข้ามาเรียนได้ แต่ด้วยเหตุการณ์ฆาตกรรมในเฮราพาเลซ ประกอบกับสถานการณ์บางอย่าง ก็ทำให้อึนบยอลที่เข้ามาด้วยคะแนนลำดับที่สาม ได้ขึ้นมาร้องเพลงในพิธีเปิดภาคการศึกษาของโรงเรียนตามความต้องการของชอนซอจินได้สำเร็จ
การแสดงเดี่ยวของอึนบยอลในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการแสดงที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีข้อผิดพลาดอย่างที่เกิดขึ้นในวันสอบเข้า หลังจากที่การแสดงจบลง พ่อของอึนบยอลได้เข้ามาแสดงความดีใจ แต่ฝ่ายผู้เป็นแม่กลับบอกเพียงว่าสิ่งที่อึนบยอลทำในวันนี้ ก็เป็นเพียงการชดเชยความผิดที่ร้องเพลงพลาดในวันสอบเข้าเท่านั้น นอกจากผู้เป็นแม่จะไม่ได้ชมลูกด้วยความจริงใจแล้ว ยังกดดันให้ลูกสาวที่รักต้องชนะรางวัลแดซังในเทศกาลศิลปะของโรงเรียนเฉกเช่นที่เธอเคยชนะในครั้งอดีตซึ่งชอนซอจินไม่รู้ตัวเลยว่าความกดดันทั้งมวลทำให้ลูกสาวของเธอตั้งคำถามที่ดูเหมือนจะไร้สาระแต่ก็สะเทือนใจลูกๆ หลายคนและซ่อนปมเล็กๆ ที่เป็นความผิดพลาดมหันต์ไว้
“ถ้าหนูได้ถ้วยรางวัล แม่ก็จะชมหนูเหมือนกันใช่ไหมคะ”
วัฒนธรรมการชม ที่ไม่ได้มีเพื่อหลงระเริง
เมื่อก่อนเราอาจจะเคยได้ยินคำที่ว่า “อย่าชม เดี๋ยวจะเหลิง” ประโยคนี้มาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมทั่วโลกโดยเฉพาะฝั่งเอเชียที่พ่อแม่มักหลีกเลี่ยงการชมเพราะเชื่อต่อๆ กันว่าการชมจะทำให้เด็กเสียคน หลงระเริงกับคำชมที่ได้รับ แต่วันนี้ก็มีหลายคนที่ออกมาบอกโต้แย้งความเชื่อดั้งเดิม แล้วเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่าการชมคนอื่นเป็นเรื่องที่ดี เช่น Gwen Dewarผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งมองว่าการชมเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดี คำชมที่จริงใจ จะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกอยากจะพัฒนาตัวเอง และมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
นอกจากนี้ Carol Dweckศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ยังศึกษาเรื่องลักษณะของคำชมที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก โดยทดลองเกี่ยวกับทัศนคติของเด็กต่อคำชม 2 รูปแบบ แบ่งเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะได้รับคำชมว่าเก่งมาก และกลุ่มต่อมาจะได้รับคำชมที่สะท้อนถึงความพยายามและความตั้งใจ ซึ่งผลของการทดลองพบว่าเด็กที่ได้รับคำชมว่าตั้งใจ มีแนวโน้มที่อยากจะท้าทาย ลองทำสิ่งที่ยากขึ้น แต่เด็กในกลุ่มที่ได้รับคำชมว่าเก่งมาก ไม่กล้าจะท้าทายลองทำอะไรที่ยากเกินไป เพราะเขาจะกลัวว่าจะทำไม่ได้ แล้วผลลัพธ์จะไม่เป็นไปตามที่ผู้ใหญ่คาดหวัง
การปกป้องตัวเองด้วยการบอกว่า “หนูเป็นเด็กดี”
ในตอนหนึ่งของ The Penthouse หลังการแสดงเปิดเทศกาลจบลง โรงเรียนได้จัดกิจกรรมการประกวดทูตประชาสัมพันธ์ขึ้น โดยผู้เข้าสมัครต้องผ่านการเทสต์หน้ากล้อง และทดสอบการพูดตามบทที่ได้รับ ซึ่งในครั้งนี้ชอนซอจินก็ลักลอบเอาบทที่จะใช้ทดสอบมาให้ลูกสาวซ้อมล่วงหน้า แต่ในระหว่างที่อึนบยอลกำลังซ้อมอยู่ แบโรนาบังเอิญได้ยิน แล้วไปบอกกรรมการคัดเลือก ทำให้ต้องเปลี่ยนบทการคัดเลือกใหม่ทันที
และเมื่อถึงวันจริง ฮาอึนบยอลเห็นว่าบทที่ได้รับไม่ตรงกับบทที่ซ้อมมา เธอเริ่มอาการสั่นและควบคุมจิตใจของตัวเองไม่ได้เหมือนตอนที่สอบเข้า ส่งผลให้เธอตัดสินใจวิ่งออกจากห้องแล้วก็สลบไป อึนบยอลตื่นมาเห็นพ่อซึ่งเข้ามาหาลูกสาวด้วยความเป็นห่วง แต่กลายเป็นว่าอึนบยอลรีบร้อนขอโทษเพราะคิดว่าพ่อจะเข้ามาตำหนิเหมือนที่แม่มักจะตำหนิเธอด้วยวาจาและอารมณ์ที่รุนแรง
“หนูขอโทษที่ไม่ได้เป็นทูตนะคะ แต่ไม่ต้องห่วงหนูจะได้ที่หนึ่งตอนสอบกลางภาคให้ได้และคว้าถ้วยรางวัลเทศกาลศิลปะชองอามาให้ได้ พ่อจะไม่เกลียดหนูใช่ไหม…”
ผู้เป็นพ่อเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูกสาวของเขา จึงตัดสินใจพาอึนบยอลไปปรึกษาจิตแพทย์
“เธอดูเป็นคนมองโลกในแง่บวกร่าเริงแจ่มใส และเอาใจใส่คนรอบข้างค่อนข้างดี แต่ทั้งหมดมันเป็นของปลอม” จิตแพทย์กล่าว
จิตแพทย์วินิจฉัยว่าฮาอึนบยอลเป็นโรคคิดว่าตัวเองไม่เก่งหรือ Imposter Syndrome อาการทางจิตเวชที่สามารถพัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้าได้โดยคนที่เป็น Imposter Syndromeมีความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่คู่ควรกับความสำเร็จ กลัวทำให้คนอื่นผิดหวังในความสามารถของตัวเอง กลัวว่าจะถูกมองว่าความสามารถนั้นเป็นของปลอมซึ่งมักเกิดขึ้นเพราะได้รับความคาดหวังที่สูงเกินไปจากคนรอบตัว หรืออาจเกิดขึ้นเมื่อกลัวความล้มเหลวมากๆดังนั้นการแสดงออกว่าเป็นเด็กดีของฮาอึนบยอลนับเป็นวิธีป้องกันตัวเองจากความสะเทือนใจที่เกิดขึ้นเวลาที่ล้มเหลว
Imposter Syndromeไม่ใช่แค่โรคที่มีแค่ในซีรีส์ แต่ปัจจุบันที่เด็กและวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่มีอาการซึมเศร้า และสาเหตุก็มาจากความสัมพันธ์ในครอบครัว ในงานThaihealthWatch :จับตาทิศทางสุขภาพคนไทย ปี 2564 ที่จัดขึ้นโดยสสส.และมีพญ.วิมลรัตน์วันเพ็ญจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นร่วมบรรยาย มีข้อมูลชุดหนึ่งที่น่าสนใจพบว่า ปัจจุบันวัยรุ่นไทยมีปัญหาซึมเศร้ามากกว่าในอดีต ซึ่งสาเหตุหลักนั้นน่าตกใจมากว่ามาจาก“ความสัมพันธ์” มากถึงร้อยละ 60 รองลงไปคือ เรื่องการเรียน ความรุนแรง ฯลฯ แต่ทุกอย่างไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว
ปัญหาทางด้านอารมณ์หรือว่าพฤติกรรมของเด็กประกอบด้วย 3 ปัจจัย อย่างแรกคือ ปัจจัยทางชีวภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ติดตัวตั้งแต่เกิด ต่อมาคือ จิตใจ ที่เป็นผลมาจากการเลี้ยงดู และสุดท้ายคือ สังคม รวมทั้ง สื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่นอกเหนือการควบคุมของผู้ปกครองนอกจากนี้ พญ.วิมลรัตน์ ยังแนะนำเพิ่มเติมว่าถ้ารู้สึกดี เป็นห่วง รัก ให้ถ่ายทอดออกไปตรง ๆ ผู้ปกครองอยากให้เด็กทำอะไร ก็ให้พูดออกไปตรง ๆ การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ จะทำให้เด็กเข้าใจ แล้วพัฒนาความรู้สึกว่าบ้านคือเซฟโซนของเขา รวมทั้งในกรณีที่ผู้ปกครองกับลูกมีความเห็นขัดแย้งกัน การพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาจะทำให้เด็กรู้ว่าแม้จะมีความขัดแย้งขึ้น แต่พ่อแม่ก็ยังเป็นห่วงและรักเขา สุดท้ายก็จะรับฟังซึ่งกันและกัน บรรยากาศในครอบครัวก็จะดีขึ้นตามมา
ฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อลูก เพราะฉันเป็น “แม่”
ปัญหาต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาในชีวิตของฮาอึนบยอลอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการเรียน เพื่อน ความรัก รวมไปถึงปัญหาครอบครัว อย่างการหย่ากันของพ่อและแม่เธอ การคบชู้ของแม่ การตายของคุณตา (พ่อของซอจิน ผอ. มูลนิธิชองอา) รวมไปถึงเรื่องการทุจริตในการสอบเข้า ทำให้อึนบยอลแทบจะไม่เหลือที่พึ่ง ไม่เหลือความภาคภูมิใจในตัวเอง และหมดศรัทธาในตัวแม่เธอตั้งใจหนีจากความจริงด้วยการพยายามฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ
หลังเหตุการณ์การฆ่าตัวตายของลูกสาว ชอนซอจินพยายาม “เอาใจใส่” ลูกสาวให้โดยการจ้าง ครูจิน(รับบทโดยอันยอนฮง) พี่เลี้ยงส่วนตัวมาดูแลอย่างใกล้ชิด เข้านอนกับลูก ตื่นพร้อมกับลูก คอยดูให้แน่ใจว่าไม่ป่วยเข้าห้องน้ำเป็นประจำและประจำเดือนมาเป็นปกติ ให้คอยตามดูทุกฝีก้าวตั้งแต่เรื่องอาหารไปจนตารางเรียนสุขภาพน้ำหนักอัตราการนอนหลับ แต่กลายเป็นว่าวิธีการนี้ยิ่งทำให้ระยะห่างระหว่างแม่กับลูกยิ่งถ่างออกจากกันมากขึ้น
“หนูเกลียดแม่ คนเห็นแก่ตัว ไร้หัวใจ”
ในที่สุด งานเทศกาลศิลปะชองอาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ผู้ที่ชนะการประกวดในงานนี้จะได้รับโควตาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยดนตรีโซลได้ทันที และแน่นอนว่าทุกคนต่างตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อเป็นที่หนึ่งในงานนี้ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น แบโรนาถูกทำร้ายและอาวุธก็คือถ้วยรางวัลที่ตั้งโชว์อยู่ ส่วนผู้ต้องสงสัยหลักในเหตุการณ์นี้ก็คือฮาอึนบยอลที่หายตัวไปจากงานก่อนการประกาศรางวัล
อึนบยอลกลับบ้านมาพร้อมกับชุดที่เปื้อนเลือด เธอเห็นภาพแบโรนาในวันที่ถูกทำร้ายตามหลอกหลอน และได้ยินเสียงหัวเราะเยาะกับความพ่ายแพ้ของเธอตลอดเวลา ชอนซอจินไม่อาจทนเห็นภาพนั้นได้ เธอจึงตัดสินใจพาอึนบยอลไปรับการบำบัดคลื่นสมองเพื่อลบความทรงจำ การบำบัดนั้นได้ผลดีเยี่ยม เพราะอึนบยอลตื่นมาแล้วจำอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นไม่ได้อีกเลย
แต่เรื่องราวไม่ได้ราบรื่นดังที่ผู้เป็นแม่คาดการณ์ไว้ ช่วงเวลานี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของเธอ เธอร้องเพลงไม่ได้เพราะข่าวฉาว สูญเสียความชอบธรรมในการบริหารโรงเรียนและมูลนิธิ รวมทั้งยังถูกบังคับให้แต่งงานกับจูดันแท (รับบทโดย ออมกีจุน) เจ้าของเพนต์เฮาส์ในเฮราพาเลซ และอดีตชู้ของเธอเอง
อึนบยอลคัดค้านงานแต่งครั้งนี้หัวชนฝา แต่ชอนซอจินก็ไม่สามารถยกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ได้แล้ว เพราะจูดันแทนำหลักฐานที่บ่งชี้ว่าอึนบยอลเคยอยู่ในที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมแบโรนามาข่มขู่และบีบให้เธอเซ็นยินยอมการควบรวมธุรกิจของเธอเรียกว่าในตอนนี้ ชอนซอจินสูญเสียทุกอย่างในชีวิตทั้งเงินทอง ชื่อเสียง และศักดิ์ศรี
ชอนซอจินยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องอึนบยอล แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งเดียวที่ฮาอึนบยอลต้องการมาตลอดคือคำว่าครอบครัว ขอเพียงแค่มีแม่อยู่ด้วย อึนบยอลก็ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับแม่
อีกหนึ่งสิ่งที่ชอนซอจินไม่เคยรู้เลยนั่นก็คือวันที่เธอเลือกหันหลังให้ลูกของตัวเอง เพื่อให้ลูกของเธอปลอดภัยนั่นอาจจะเป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้พบฮาอึนบยอล ลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ เพราะตอนนี้ ฮาอึนบยอลได้ขอร้องให้ครูจินพาตัวเองไปในที่ที่ไกลแสนไกลเรียบร้อยแล้ว
“แม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนูบ้างไหม… นอกจากเกรด คะแนน ทำโทษ แม่ก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนูเลย”
Fact File
- ติดตามซีรีส์เรื่อง The Penthouse ซีซัน1 และ 2 ทาง VIU, WeTV และ iQIYI
- ซีซัน3 ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564
ภาพ : www.facebook.com/sbsdrama.official
อ้างอิง
- https://www.youtube.com/watch?v=TTXrV0_3UjY
- https://www.parentingscience.com/effects-of-praise.html
- https://familybuildersok.org/2020/05/the-benefits-of-praising-your-children/
- https://www.verywellmind.com/imposter-syndrome-and-social-anxiety-disorder-4156469#:~:text=Impostor%20syndrome%20(IS)%20refers%20to,perfectionism%20and%20the%20social%20context.
- https://www.istrong.co/single-post/imposter-syndrome
- https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2017689
- https://thematter.co/social/effect-from-family-conflict/103382