แน็ก ชาลี กับมุมมองต่ออาชีพนักแสดง รีวิวเวอร์ และชีวิตส่วนตัวที่ใครก็มองว่า “บ้า”
- แน็ก ชาลี ดาราเด็กที่โด่งดังตั้งแต่อายุ 9 ขวบจากบท “เจี๊ยบ” ในภาพยนตร์เรื่อง “แฟนฉัน” ปัจจุบันแน็กในวัยเกือบ 30 ปีตัดสินใจรับภาพยนตร์แค่ปีละ 1 เรื่องเท่านั้น หรือจะรับละครเมื่อต้องการใช้เงิน
- คลิปรีวิวสินค้าฉบับฮาสไตล์แน็ก ชาลี และอาเธอร์หลานชายกลายเป็นไวรัล จนได้รับฉายา “รีวิวขั้นเทพ” เขากล่าวว่าจะไม่รับรีวิวถ้าชิ้นไหนต้องโฆษณาเกินจริง
- อาชีพนักแสดงทำให้แน็กต้องอยู่ในสปอตไลต์แต่เขากล้าที่จะใช้ชีวิตปกติ ไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์และได้ทำทุกสิ่งที่อยากทำในชีวิตจนหมดแล้ว
แน็ก ชาลี พูดถึงชื่อนี้ขึ้นมา สิ่งแรกที่เรานึกถึงแบบแวบเข้ามาในหัวแทบจะทันทีคือภาพเด็กชายเจี๊ยบปั่นจักรยานร้องเพลง “โอ๊… เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย” หรือฉากที่มาพร้อมประโยคฮิตติดหู “เจี๊ยบ…ตัดยางเราทำไม” ของน้อยหน่า (รับบทโดย โฟกัส จีระกุล) ในภาพยนตร์เรื่อง “แฟนฉัน” ที่ดังเปรี้ยงจนเป็นปรากฏการณ์เมื่อเข้าฉายในปี พ.ศ. 2546 ถือเป็นการแจ้งเกิดในฐานะดาราเด็กพร้อมนามสกุลห้อยท้าย “แน็ก แฟนฉัน”
จากดาราเด็ก ถึงวัยรุ่นสายติสต์รักสัตว์ สู่การคัมแบ็กพร้อมกระแส “มีมหน้านิ่ง” ของเขาขณะชมมวยคู่สุดท้ายของรายการ 10 Fight 10 ซีซัน 1 และล่าสุดกับฉายา รีวิวขั้นเทพ จากวิดีโอรีวิวสินค้าที่กลายเป็นไวรัลไปแทบซะทุกคลิปที่เผยแพร่
ล่าสุดในล่าสุด แน็ก ชาลี ได้เป็นหนึ่งในทีมนักแสดงภาพยนตร์ลึกลับ Who ปิดป่าหลอน ที่กำลังเข้าฉายอยู่ในขณะนี้ Sarakadee Lite เลยถือโอกาสชวนเขามาพูดคุยถึงบทบาทใหม่ และการใช้ชีวิตในแบบของ แน็ก ชาลี ไตรรัตน์
ภาพยนตร์ Who ปิดป่าหลอน แน็กเล่นเป็นใคร ตัวละครเป็นอย่างไร
“ผมรับบทเป็น เปี๊ยก นะครับ ในเรื่องก็เป็นเด็กนักศึกษาคนหนึ่งที่มีกลุ่มเพื่อน แล้วเขามีเรื่องให้ต้องเข้าไปอยู่ในป่ากัน แล้วก็ทำให้มีปัญหา มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น มีเรื่องลึกลับเกิดขึ้น มีคนนู้นคนนี้ตายอะไรแบบนี้ เราก็เป็นตัวละครหนึ่งที่เรียกว่าลึกลับอยู่เหมือนกัน เพราะว่าจะเงียบๆ ไม่ได้พูดเยอะ”
ตอนที่รับเล่นแน็กคิดอย่างไรกับหนังเรื่องนี้
“พอดีว่าผมรู้จักกับผู้กำกับอยู่แล้ว พี่ใหญ่ (กรภัทร์ ทั่งศรี) โทร. มาคุยกับผมว่าพี่ทำหนังเกี่ยวกับเด็กกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปอยู่ในป่า วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในป่าแล้วไม่สามารถออกมาได้ ผมฟังแค่นี้เราก็เห้ย อยากเล่นแล้ว มันน่าจะสนุกในการถ่าย”
ตอนที่เลือกรับหนังเน้นที่อะไรตัวละครเรื่องหรือบรรยากาศการทำงาน
“ไม่เลย คือเราคุยกัน เราฟังอารมณ์ที่เขาเล่าว่าเกี่ยวกับ… เหมือนที่บอกเมื่อกี๊ เด็กกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปอยู่ในป่า ยิ่งถ้าใครชอบดูหนังฝรั่งอยู่แล้วก็จะยิ่งรู้สึกว่ามันมีหนังแนวนี้เยอะ รู้สึกว่าถ้าเราได้เล่น ก็น่าจะดี”
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแนวไหน
“ลึกลับ สยองขวัญด้วยก็ได้ ตื่นเต้น ต้องเดา ต้องคอยคิดตลอดว่าใครเป็นอะไร”
คนดูยังติดภาพเจี๊ยบ–แฟนฉันตลอดเวลาแน็กรู้สึกอย่างไรกับประเด็นนี้
“จริงๆ แฟนคลับผมอายุ 40-50 ปี ตอนนี้ผมเกือบ 30 แล้วนะ ตอนเล่น แฟนฉัน ผมแค่ 9 ขวบ ถือว่ามีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีก็คือมันเป็นหนังที่แจ้งเกิดเรา เราก็ต้องให้ความสำคัญกับมัน ใครจำเราได้จากเรื่องนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่น่ารัก แต่ข้อเสียก็คือว่า เรายังดูเด็กตลอดเวลา มันจะมีข้อเสียนี้จริงๆ ที่ว่าเราไปเล่นหนัง เล่นละคร ก็ยังดูเด็ก ไม่ดูเป็นผู้ใหญ่ ติดภาพเป็นเจี๊ยบอยู่”
ทุกวันนี้ยังมีคนเรียกเจี๊ยบอยู่ไหม
“มี บางคนก็ยังเรียกว่าเจี๊ยบอยู่”
แน็กบริหารความดังอย่างไรเพราะเป็นดาราที่ดังมาตั้งแต่เด็ก
“ผมไม่เรียกว่าบริหารดีกว่า เรียกว่าเราไม่เหมือนคนอื่น เราไม่ใช่นักแสดงที่แคร์แฟนคลับมาก ไม่ใช่นักแสดงที่ชอบจัดหรือชวนคนมา (มีตติ้งแฟนคลับ) เราเลยไม่ได้มีกลุ่มแฟนคลับเยอะเหมือนคนอื่น แล้วก็ไม่ได้ดูแลภาพลักษณ์ตัวเอง เลยเข้ากลุ่มนั้นไม่ได้ ที่ว่าบริหาร (แฟนคลับ) อะไรแบบนี้”
ตอนนี้แน็กยังใช้ชีวิตแบบปกติใช่ไหม
“ใช่ ผมโชคดีกว่าคนอื่นตรงที่ผมกล้าใช้ชีวิตแบบปกติ ซึ่งมันมีข้อเสียคือถ้าบางคนใช้ชีวิตปกติก็สามารถจบชีวิตการทำงานของคุณได้ มันก็เป็นข้อเสียอยู่เหมือนกันนะ ที่ผมใช้ชีวิตแบบไม่ค่อยแคร์อะไร (ผม) ทำงานก็ตั้งใจทำงาน ถ้ารับแล้วมีความรับผิดชอบสูงมาก ตัวผม ก็คือหลุดจากงาน ชีวิตประจำวันก็ทำตัวเหมือนเดิม”
ปัญหาความดังไม่มีผลกับแน็กชาลี
“ไม่มี ใครรับ (ผม) ได้ก็ โหย… ขอบคุณมากๆ ใครรับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
ภาพในเฟซบุ๊ก อินสตาแกรมคือตัวตนของแน็กจริงๆ
“ผมโชคดีกว่าคนอื่น คือผมได้เอาตัวตนมาผสมกับงานของผม เลยทำให้เรารู้สึกมีความสุข สนุกกับการทำงาน บางคนไม่สามารถทำแบบเราได้”
แน็กเคยบอกว่าถ้าเงินไม่หมดจะไม่รับงานบันเทิงใช่ไหม
“ถ้าฟังดีๆ ผมพูดว่า ‘ถ้าเงินไม่หมดผมจะไม่เล่นละคร’ ตอนไหนที่เห็นผมเล่นละครนั่นคือมันไม่มีอะไร (ทำ) แล้วจริงๆ”
การแสดงไม่ใช่ทั้งหมดของแน็กขนาดนั้นใช่ไหม
“ไม่ใช่ เพราะมันคืองานเหมือนคนทั่วไปที่ต้องทำงานบริษัท แต่ว่าของเราก็คือการแสดงแค่นั้นเอง”
จัดการกับอาชีพนักแสดงอย่างไร
“ผมจะรับหนังแค่ปีละ 1 เรื่อง ถ้าช่วงไหนที่เรารู้สึกว่าไม่มีหนังน่าเล่นจริงๆ แล้วเราต้องการใช้เงินบ้างก็จะลงละคร คือผมโชคดีที่ผมมีละครทุกปี (มีงานเสนอ) ทั้งปี ถ้าอยากเล่นเมื่อไรก็มีให้เล่นตลอด”
อะไรที่ทำให้แน็กไม่อยากใช้ชีวิตผูกพันกับการแสดงขนาดนั้น
“สำหรับผม ผมเหนื่อย ผมทำงานแสดงมาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมเลยรู้สึกว่ามันเบื่อมาก แต่ว่ามันก็คือการทำงาน เหมือนคนทำงานทั่วไปมีเบื่อ บางคนอาจไม่ชอบให้เราพูดคำว่าเบื่อ ทำไมเบื่อแล้วยังรับเล่นมันเหมือนเป็นคนนิสัยไม่ดีเลย ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย เหมือนคุณเบื่อการทำงานแต่คุณก็ต้องทำ มันก็เหมือนกัน”
สิ่งที่อยากทำนอกเหนือจากอาชีพนักแสดง
“จริงๆ ผมเป็นคนที่โชคดีมาก ผมได้ทำทุกอย่างที่ชีวิตเราอยากทำมาแล้ว จนไม่เหลืออะไรแล้วที่แบบอยากทำ ผมอาจจะไม่มานั่งระบุ แต่ว่ามันหมดแล้ว กีฬาทางน้ำ กีฬาทางอากาศ ทุกอย่างทำหมดแล้ว”
รู้สึกอย่างไรกับฉายา “รีวิวขั้นเทพ”
“รู้สึกดีใจมาก กับการที่ช่วงหนึ่งเราทำรีวิวแล้วประสบความสำเร็จ (จำนวน) คนดูไม่ (สำคัญ) เท่าไร แต่ที่ถือว่าสำเร็จคือคนตามไปซื้อของจริงๆ คนตามไปใช้ของที่เรารีวิวจริงๆ อันนั้นผมรู้สึกภูมิใจมาก แล้วก็ดีใจที่เราทำตรงนั้นได้ เพราะว่าเราใช้ใจทำ เราไม่ได้เป็นแค่นักแสดงที่หยิบสินค้ามาถ่ายรูปทั้งที่ไม่เคยใช้เลย ซึ่งมันก็ไม่ผิดนะ เพราะมันได้เงินเยอะมาก คนที่รับและทำ (รีวิว) ง่ายๆ แบบนั้น คุณคือคนฉลาดแล้ว ผมไม่ว่าพวกเขานะ แต่ว่าผมไม่ทำแบบนั้นเฉยๆ เราเอามาลองใช้ก่อน หรือว่าบางอย่างที่ (เจ้าของแบรนด์) เขาทักมา (สินค้าตัวนั้น) มันดันเป็นของที่เราเคยใช้ตั้งแต่เด็ก เราใช้อยู่แล้ว เราใช้มันบ้างอะไรแบบนี้ เราก็เลยใส่ใจในการทำงาน”
สนุกกับการทำงานตรงนี้ไหม
“สนุกนะ คือผมมั่นใจเรื่องหนึ่งว่า แทบไม่มีใครได้ทำงานที่ตัวเองชอบ (มีคน) น้อยมากที่ทำแล้วมีความสุขจริงๆ แต่ของผมมันดันได้เอาชีวิตประจำวันไปผสมกับรีวิวแล้วคนดันตอบรับด้วยการชอบสิ่งนั้น ผมเลยรู้สึกว่ามันสนุกมาก”
แจกจ่ายความสุขให้คนที่เข้ามาดูคลิปของเราแล้วหาความสุขให้ตัวเองอย่างไร
“มันอาจสลับกันนะ บางทีช่วงที่เราดูตลกมาก บางทีเราก็อาจจะเครียด ผมก็ผ่านจุดที่เครียดสุดๆ มา โดยที่เราจัดการเวลาผิดอะไรแบบนี้ แล้วมันเป็นจุดที่ทำให้ชีวิตรู้สึก ‘โห… หนักมาก’ นอนไม่หลับเป็นเดือน ไม่ได้พักไม่ได้อะไรเลย เครียดหนักมากก็มีเหมือนกัน แต่วิธีที่ตอบแทนเรา เราทำมันแล้วก็คือเงินนั่นแหละ การที่เราได้เงินนั่นแหละ ได้เงินมาใช้ในชีวิตประจำวัน คือสิ่งที่ตอบแทนเรา”
อยากรู้วิธีบริหารเงินแบบฉบับ แน็ก ชาลี
“ไม่มี ผมอายุเยอะแล้วนะ (27 ปี) หลายคนไม่ต้องเตือนผม เพราะผมไม่ใช่เด็กแล้ว ผมรู้เรื่อง แต่ขอบคุณทุกคนที่เตือน แต่ผมเป็นคนไม่กลัวเรื่องการใช้เงิน แล้วก็ไม่ได้ห่วงเพราะเราไม่ได้มีภาระ ถ้าวันหนึ่งเรามีภาระเมื่อไรเราจะค่อยคิดว่า ‘เฮ้ย เราควรเก็บเงิน’ เพราะว่าหนึ่ง พ่อแม่ผมไม่ได้เดือดร้อน ผมดูแลครอบครัวผมดีที่สุดแล้ว พ่อแม่ผมไม่ใช่คนที่ต้องการเงินจากลูก เขาไม่ได้เดือดร้อนเลย เขามีความสุขแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าเราไม่ได้มีภาระ เราเลยใช้เงินให้มีความสุข แล้วก็ช่วยเหลือสัตว์ทั่วไปเท่าที่เราทำได้”
แน็กจัดการเงินเองทั้งหมดเลย หรือมีคนช่วยจัดการให้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไร
“มันคิดถึงขนาดนั้นไม่ได้ ผมไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น สมมติวันนี้ผมได้มาล้านหนึ่ง พรุ่งนี้ผมเอาล้านหนึ่งไปปล่อยกุ้งหมดเลย ผมไม่เคยเสียดายเงิน ผมเลยแบบไม่มีเงินเก็บ ไปซื้อปลามาปล่อย ก็ซื้อทีเป็นล้าน ผมก็ไม่เครียดอะไรแบบนี้ ถามว่าซีเรียสไหม เสียดายไหม ผมเสียดายนะ แต่ถ้าทั้งชีวิตคุณมีเงินแค่ล้านเดียว ไม่มีใครกล้าทำแบบผมหรอก ผมพูดจริงๆ ถ้าคุณมีเงินล้านหนึ่ง คุณก็ต้องเก็บไว้ เอาไปซื้อสิ่งที่มันสำคัญมาใช้ แต่ของผมถ้าคนรู้จักผมก็จะรู้เลยว่า ถ้าผมมีเงินล้านหนึ่ง ผมใช้หมดเลยแบบไม่ได้ (ของ) อะไรมาเลยนะ ผมแค่เอาไปปล่อยกุ้ง อยากให้มันได้ว่ายน้ำ แค่นั้นพอแล้ว”
แทบทุกคลิปของแน็กทางออนไลน์กลายเป็นไวรัลแน็กมีวิธีการทำอย่างไร
“สำหรับคนไทยนะ ทำให้ตลกที่สุด ไม่มีอะไรเลย อันนี้ใครเถียงนะ ผมเถียงขาดเลย ทำให้ดีให้ตายก็ไม่มีคนดูหรอก ต้องให้มันตลกที่สุดแล้วคนจะดู ทำให้มันน่าเกลียด ให้มันตลก ให้คนดูดูแล้วหายเครียด อันนั้นประสบความสำเร็จแน่ ถ้าทำให้ดีทำให้ตาย ก็ไม่มีคนดู (แนว) ที่ไปตั้งใจถ่าย ตั้งใจตัดต่อ ตั้งใจเนียนๆ โฆษณาแบบนี้ไม่ได้ คือโฆษณาต้องทำให้เขารู้ว่าเป็นโฆษณา แล้วก็ให้รู้ว่าเราจริงใจในการโฆษณาด้วย”
ส่วนใหญ่เตรียมพล็อต เตรียมสคริปต์สำหรับทำคลิปไว้ก่อนไหม
“ไม่มี ผมให้เขาส่งสินค้ามาที่บ้าน แล้วก็นั่งดูว่า ปกติเราใช้มันยังไง เราลองใช้สักเดือนสองเดือน อย่างน้อยเราพูดได้ว่าเราใช้มันจริงๆ เราเคยใช้ แล้วมันใช้ได้ แล้วเราก็รู้ว่าสิ่งนี้เราจะทำอะไรกับมันได้บ้าง ถ้าอันไหนพูดเยอะเราตัดไปเลย ขอยกเลิกทันที ถ้าอันไหนต้องโฆษณาเกินจริงเราไม่ทำ เราขออะไรที่แบบ เราจะทำให้เห็นสินค้าชัดเจน แล้วก็ตลก ธรรมชาติ แบบนั้นคนจะชอบ”
มีคนตั้งฉายาให้แน็กเป็นคุณน้าขาดัน เพราะว่าตอนนี้อาเธอร์หลานชายของแน็กดังมาก แน็กมีวิธีหลอกล่ออาเธอร์อย่างไรให้มาช่วยทำคลิป
“ไม่มีหรอก เราไม่ได้หลอกล่อเขา เขาอยู่กับเรา แล้วเราไม่ได้เพิ่งมาทำคลิปอย่างนี้กับเขา ผมถ่ายคลิปอย่างนี้กับอาเธอร์ตั้งแต่เขาเกิดแล้ว แค่ว่าคนไม่เห็นคลิปพวกนั้น เพิ่งมาเห็นตอนนี้เอง ลองไปย้อนดูแล้วผมมีคลิปอย่างนี้กับหลานผมตั้งนานมากแล้ว แค่ไม่มีใครเห็น”
แน็กมองอนาคตของอาเธอร์ไว้อย่างไร เขามีแววเป็นนักแสดงไหม
“ผมมองแค่ว่า พยายามส่งเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ เพราะเด็กเวลามันโตขึ้น มันอาจจะไม่ฟังเราแล้วก็ได้ เราก็ต้องทำใจเผื่อไว้ ไม่ต้องไปเครียด ห้ามไปยึดติด ห้ามไปทวงบุญคุณ ห้ามใดๆ สักอย่างเลย แค่คิดว่าวันนี้เราทำให้เขาแข็งแรง โตขึ้นแล้วถ้าเขาทำเองได้เมื่อไรแล้วปล่อยเลย”
ถ้าเทียบความแสบระหว่างน้าแน็กกับอาเธอร์ใครแสบกว่ากัน
“ต้องเป็นผมแหละ ผมแสบกว่าอยู่แล้วเพราะว่าเขาเลียนแบบผม”
อาเธอร์คิดว่าแน็กเป็นไอดอลไหม
“ผมคิดว่า เขาคงคิดว่าชีวิตผมสนุกดีมากกว่า ส่วนใหญ่เราจะเห็นแต่เด็กฝรั่งที่อายุ 1-2 ขวบ แล้วเขากล้าลงน้ำแบบไม่กลัวเรื่องความลึกเลย (แต่คนไทย)ไม่ค่อยมี แต่ว่าผมอยากให้อาเธอร์เป็นแบบนั้น เราก็เลี้ยงให้เขาเป็นแบบนั้น แต่การจะเลี้ยงให้เขาเป็นอย่างนั้นได้ตัวเราก็ต้องมั่นใจว่าดูแลเขาได้ด้วยนะ ซึ่งผมมั่นใจมาก อย่างผมอยู่ข้างบนแล้วจับเขาโยนลงมา ลงน้ำ(จากที่)สูงๆ ตั้งแต่อาเธอร์พูดยังไม่ได้เลย แต่ว่าเราเห็นว่าเขาชอบ เขาแข็งแรง เขาอยากเป็นเด็กที่พิเศษกว่าเด็กคนอื่น เราก็เต็มที่”
การที่แน็กเขียนแคปชันในโพสต์โซเชียลต่างๆ มีส่วนทำให้คนไทยอ่านหนังสือเยอะขึ้น แน็กมีมุมมองต่อการเขียนอย่างไร สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ชอบการเขียนหรือการอ่านเลย
“ผมว่ามันก็แปลกดีนะ ที่อยู่ดีๆ มันมีสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ ถ้าให้เข้าใจง่ายสุดก็คือคนไม่ได้ชอบอ่าน (ยาว) หรอก แค่ชอบอ่านอะไรที่มันสนุก ถ้าแบบทั่วไปมันน่าเบื่อ ผมก็ไม่อ่านเหมือนกันนะ เราก็ไม่ได้มานั่งอ่านหนังสือเยอะ อะไรแบบนี้ เพราะเดี๋ยวนี้มันได้ทั้งฟัง ได้ทั้งดูนู่นนี่ แต่ว่าอะไรที่มันสนุกคนก็ยังอ่านอยู่”
เวลาเขียนมีวิธีเรียบเรียงอย่างไร
“ผมไม่ได้เรียบเรียงอะไร เพราะว่าผมเล่าเรื่องจริงเฉยๆ ตั้งแต่โทรศัพท์ผมตกน้ำผมก็เล่าจริงๆ ว่าผมไปซื้ออะไรมาบ้าง อย่างผมตามหาของ คนมองว่าผมตลก ที่ผมไปซื้อใบพัดเฮลิคอปเตอร์ คนนึกว่าสร้างเรื่อง (แต่) ผมซื้อจริง ผมซื้อใบพัดเฮลิคอปเตอร์ ตอนนี้ของที่ผมตามๆ ก็ยังไม่ได้ของมาหลายอัน คือผมเป็นคนชอบจ่ายเงินก่อน อย่างคิดว่าเราจะทำเพลงกับคนนี้นะ เราก็ไปจ่ายเงินเขาเต็มจำนวน แล้วเราก็ไม่ไปทำ ผมทำอย่างนี้เป็น 10 ที่เลย ชอบไปจ่ายเงินจะซื้อของทั้งที่บ้านยังไม่มีที่วาง เราก็ไปซื้อ ทำอย่างนี้บ่อย มันเลยตลก คนอาจมองว่าผมพูดเล่น แต่จริงๆ ผมเอาเรื่องจริงมาเล่านี่แหละ แล้วคนก็ขำกัน”
มีหลายคนมองว่าแน็กแปลก มองว่าตัวเองแปลกไหม
“ไม่แปลกหรอก คนใกล้ตัวเรียกผมประมาณว่าบ้ามากกว่า คือเป็นคนที่ไม่เสียดายของ ไม่หวงรถ เรามีรถมอเตอร์ไซค์คันละเป็นล้าน ผมซื้อทีผมซื้อมา 10 คัน ถ้าคนดูแลหมู่บ้าน ยามที่ไหนหรือคนงานก่อสร้าง อยากยืมรถ ผมให้เลยนะ ผมไม่เคยหวงรถเลย ใครอยากเอาไปขับเป็นปีผมก็ให้ไปเลย จำได้ว่าผมทวงของแต่ละคนคือวันที่ผมไม่มีตังค์ ผมก็บอกว่า ผมจะให้คนไปยกรถที่บ้านนะ ตลกมาก จะเป็นยามจะเป็นอะไรผมให้หมด เพราะว่ามันคือความสุขมาก ผมดีใจที่คนไม่เคยมี แล้วเขามี ผมแฮปปี้มาก”
สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตแน็กคืออะไร
“ครอบครัว พ่อแม่พี่น้องนั่นแหละ”
ทุกวันนี้สิ่งที่แน็กทำเหมือนมันต้องเหนื่อย เราเหนื่อยขนาดนี้ไปเพื่ออะไร
“เหนื่อยมากก็เพื่อเงิน เพราะถ้าไม่มีเงินก็อยู่ไม่ได้ แต่แค่ไม่ต้องมีเงินเยอะมากเกิน”
ในอนาคตอยากให้คนจดจำแน็กชาลีเป็นแบบไหน
“คิดไม่ออกเลย (ผม) ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ให้คนจดจำเรื่องอะไร ก็คงเป็นคนตลกมั้ง จดจำว่า (แน็ก) เคยสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แค่นี้เลย ผมดีใจที่เวลามีข้อความเข้ามา บางคนบอกว่ากำลังเครียดถึงขั้นหนักมาก แล้วพอมาดูคลิปของเรารู้สึกว่าทำให้หายเครียดได้ เขามาไล่ย้อนดู เขาก็ตลก เราก็มีความสุขตรงนั้นแหละ”
นิยามตัวเองว่าอย่างไร
“สำหรับผม คนใกล้ตัวบอกว่า ผมบ้ามาก แล้วก็ไม่แคร์อะไร แต่ในความไม่แคร์ของผมคือผมแคร์ในหลายๆ อย่างมากนะ แต่ว่าสิ่งไหนที่ทำให้ตัวเองดูดีขึ้นเราจะไม่แคร์มัน เพราะมันไม่จำเป็น แต่ว่าเราจะแคร์ความรู้สึกคนหลายคน บางช่วงอารมณ์ผมก็เหมือนเด็กนะ ผมก็ติ๊งต๊องเหมือนกัน ผมเป็นคนตลกไง จริงๆ ผมตลกมาก แบบนั่นแหละ (เขาว่า) เป็นคนบ้า”
Fact File
- ภาพยนตร์ Who ปิดป่าหลอน เข้าฉายวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563
- ติดตาม แน็ก ชาลี Facebook : Charlie Potjes และ Instagram : charliepotjes
- ติดตาม อาเธอร์ (หลานชายน้าแน็ก) Facebook : เด็กชายอาเธอร์