เปิดภาพถ่าย ดาวเสาร์ ดาวพฤหัสบดี ยุคบุกเบิกอวกาศ โดยยาน Voyager
- ยานอวกาศ Voyager1 และ 2 สามารถค้นพบความลับมากมายของสุริยะโดยเฉพาะดาวเสาร์ ดาวพฤหัสบดี ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน พร้อมด้วยดวงจันทร์อีก 48 ดวง และวงแหวนของดาวเสาร์
- Voyager1 และ 2 ถ่ายภาพระบบสุริยะกลับมาได้อีก 6 หมื่นกว่าภาพซึ่งเป็นชุดภาพที่ปฏิวัติความเข้าใจเกี่ยวกับระบบสุริยะที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้
ย้อนไปในยุคทองของการสำรวจอวกาศซึ่งตรงกับ ค.ศ.1979-1989 เป็นช่วงเวลาที่ทางนาซ่าได้ส่ง ยานอวกาศ Voyager 1 และ Voyager2 ขึ้นไปสำรวจดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ แม้ก่อนหน้านั้นจะมียานอวกาศลำอื่นเคยเดินทางไปสำรวจมาแล้ว แต่ Voyager กลับสามารถค้นพบความลับมากมายของระบบสุริยะโดยเฉพาะ ดาวเสาร์ ดาวพฤหัสบดี ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน พร้อมด้วยดวงจันทร์อีก 48 ดวง และวงแหวนของดาวเสาร์ อีกทั้งยังถ่ายภาพกลับมาได้อีก 6 หมื่นกว่าภาพ ซึ่งเป็นชุดภาพที่ปฏิวัติความเข้าใจเกี่ยวกับระบบสุริยะที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้
การเดินทางเพื่อเปลี่ยนประวัติศาสตร์ระบบสุริยะ
Voyager1 เดินทางถึงดาวพฤหัสบดีในเดือนมีนาคม ค.ศ.1979 ก่อนหน้า Voyagerถึง 4 เดือน และสามารถเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีได้มากที่สุดในระยะทาง 348,890 กิโลเมตร ถ่ายภาพได้จำนวน 17,477 ภาพ ทั้งยังเห็นดวงจันทร์ขนาดใหญ่ 4 ดวงของดาวพฤหัสบดีที่ค้นพบโดยกาลิเลโอ คือ Io, Ganymede, Callisto และ Europa
ผลงานชิ้นโบแดงของ Voyager1 คือการค้นพบจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดี ที่เรียกว่า the great red spot ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก เกิดจากพายุหมุนหลายสิบลูกในบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี อีกทั้งยังได้พบวงแหวนบางๆ ของดาวพฤหัสบดีอีกด้วย
และที่ทำให้วงการดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ตื่นเต้นมากๆ คือการที่ Voyager1 ค้นพบภูเขาไฟหลายลูกที่กำลังคุกกรุ่นบนดวงจันทร์ Io ซึ่งได้เปลี่ยนชุดความเชื่อเดิมที่ว่าดวงจันทร์ Io มีอายุเก่าแก่และมีหลุมอุกกาบาตคล้ายดวงจันทร์ของโลก ไม่เพียงเท่านั้น Voyager1 ยังทำให้เราได้เห็นพื้นผิว สภาพทางธรณีของดวงจันทร์ที่เหลืออีก 3 ดวง เริ่มจาก Ganymede ทีพื้นผิวเป็นหลุมบ่อ ขรุขระ ส่วน Callisto มีหลุมอุกกาบาตเก่าแก่ และ Europa มีสันเนินเตี้ยๆ ที่ตัดกันยุ่งเหยิงไปหมด และทิ้งท้ายด้วยการพบดวงจันทร์ใหม่อีก 3 ดวงของดาวพฤหัสบดี คือ Metris, Adrastea และ Thebe
ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน Voyager เดินทางต่อไปยังดาวเสาร์ และอีก 20 เดือนต่อมาก็ไปถึงไททัน (Titan) ดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของระบบสุริยะรองจาก ดวงจันทร์ Ganymede ของดาวพฤหัสบดี การไปถึงไททันของ Voyager ได้ทำลายข้อสันนิษฐานเดิมของนักวิทยาศาสตร์อีกครั้ง จากเดิมที่เคยสันนิษฐานว่าไททันอาจมีบรรยากาศและมีทะเลก๊าซมีเทนบริเวณพื้นผิว แต่ Voyager1 กลับพบเมฆหมอกสีส้มซึ่งเป็นอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถมองทะลุเห็นพื้นผิวได้ แต่อย่างน้อยคลื่นวิทยุที่สะท้อนจาก Voyager1 ก็สามารถบอกได้ว่าพื้นผิวของไททันเป็นหิน ซึ่งนี่เป็นเหตุที่ทำให้ NASA ต้องส่งยานอวกาศขึ้นไปสำรวจไททันอีกครั้งในเวลาต่อมา
สำหรับความลับของดาวเสาร์ที่ Voyager 1 ค้นพบคือ วงแหวนของดาวเสาร์มีหลายสิบวงด้วยกัน และโครงสร้างภายในของวงแหวนก็ประกอบไปด้วยวงแหวนย่อยๆ อีกหลายพันวง ทั้งยังพบดวงจันทร์ใหม่ของดาวเสาร์ถึง 3 ดวง ก่อนจะจบภาระกิจในเดือนธันวาคม ค.ศ.1980 และมุ่งหน้าไปยังขอบสุริยะต่อไป
แฝดผู้น้อง Voyager2
สำหรับ Voyager2 เดินทางเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดีมากที่สุดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1979 ระยะทาง 721,670 กิโลเมตร และได้บันทึกภาพไว้จำนวน 17,050 ภาพ ซึ่งเห็นวงแหวนของดาวพฤหัสบดีชัดเจนมาก รวมทั้งพื้นผิวของ Callisto ที่เชื่อว่าน่าจะเก่าแก่ที่สุดในระบบสุริยะ จากนั้น Voyager2 ได้เดินทางต่อไปยังดาวเสาร์ในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน และสามารถถ่ายภาพดาวเสาร์ได้ทั้งหมด 11,001ภาพ
ภาพสำคัญที่ Voyager2 ถ่ายได้บนเดาวเสาร์คือ การค้นพบจุดสีขาวรูปไข่ (white ovals) ในบรรยากาศ คล้ายกับที่เกิดขึ้นบนดาวพฤหัสบดี รวมทั้งเห็นชัดว่าวงแหวนของดาวเสาร์มีหลากสี ภาพพื้นผิวที่มีอายุไม่มากนักของดวงจันทร์ Enceladus ภาพดวงจันทร์ Phoebe ซึ่งน่าจะเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ดาวเสาร์จับเข้ามาเป็นบริวาร และการค้นพบดวงจันทร์ใหม่ถึง 7 ดวงด้วยกัน
จบจากภาระกิจสำรวจดาวเสาร์ Voyager2 ก็ได้ใช้แรงเหวี่ยงของดาวเสาร์มุ่งน่าไปสำรวจดาวยูเรนัส ดาวเคราะห์ดวงที่ 7 และเดินทางไปยังขอบระบบสุริยะต่อเช่นเดียวกับ Voyager1 ในวันขึ้นปีใหม่ ค.ศ.1990
ต้นเรื่อง : นิตยสาร สารคดี ธันวาคม 2545