4 ซีรีส์ แม่-ลูก อุ่นหัวใจ ที่มีมากกว่าเรื่องราวของความสัมพันธ์
- 4 ซีรีส์เกาหลี ที่ว่าด้วยเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะแม่-ลูก ซึ่งนอกจากเพิ่มความอบอุ่นหัวใจแล้ว บางเรื่องก็สะท้อนปัญหาครอบครัวที่ทับซ้อนกันอยู่ในสังคมเกาหลีเช่นกัน
- ในอุตสาหกรรมละครของเกาหลีนั้นไม่ได้โฟกัสอยู่เพียงพล็อตเรื่องรักโรแมนติก หรือแอ็คชั่น ซีรีส์ When The Camellia Bloom ซึ่งกวาด 4 รางวัลบนเวที Baeksang Arts Awards 2020 คืออีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยยืนยันได้ว่า ละครแนวครอบครัวถ้าทำให้ดีก็มีคนดู
ปีนี้ถือเป็นปีที่มีเรื่องราวหนัก ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้ได้รู้ว่าการมีใครสักคนคอยรับฟัง ต่อสู้ เป็นกำลังใจและเดินหน้าไปด้วยกันนั้นช่วยเยียวยาและเพิ่มพลังใจในการใช้ชีวิตขึ้นมาได้ ซึ่งคนที่ใกล้ชิดกับเราที่สุดก็คงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากครอบครัว Sarakadee Lite เลยขอถือโอกาสนี้ ชวนผ่อนคลายความหนักอึ้งเอาไว้ชั่วคราว ด้วย ซีรีส์เกาหลี ที่บอกเล่าความสัมพันธ์ฉบับแม่-ลูก ครอบครัว และมิตรภาพที่แสนจะอุ่นหัวใจ
When The Camellia Bloom
“ฉันไม่เหมือนแม่ของฉัน เมื่อไหร่ที่ฉันมีลูก ฉันจะไม่ทอดทิ้งลูกของฉัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
เรียกว่าเป็น ซีรีส์ ยอดนิยมที่กวาดรางวัลมาเพียบ ล่าสุดกับเวที Baeksang Arts Awards 2020 ก็กวาดไปแล้ว 4 รางวัลทั้งรางวัลใหญ่สุดอย่าง แดซัง, บทซีรีส์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (คังฮานึล) และ นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (โอจองเซ) ซึ่งช่วยการันตีความน่าดูเข้าไปคูณสิบ
When The Camellia Bloom เป็น ซีรีส์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ ทงแบค (รับบทโดย กงฮโยจิน) แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ดิ้นรนพยายามยืนหยัดด้วยตัวเอง เธอย้ายมาเปิดร้านเหล้าชื่อ คามิลเลีย ที่หมู่บ้านองซาน พร้อม พิลกู ลูกชายตัวน้อย ซึ่งร้านนี้ก็ป๊อปปูล่าขึ้นมาในเวลา 6 ปี
จะว่าไปเรื่องนี้ถือเป็น ซีรีส์ พลังหญิงที่แท้ด้วยเนื้อเรื่องที่ฉายชีวิตอึด ถึก ทน ของทงแบคที่ต้องสู้ฝ่าฟันทำงานหนัก หาเลี้ยงตัวเองและลูกชายลำพัง ทงแบค มีความฝันอยากมีครอบครัวใหญ่ ซึ่งอาจมาจากความรู้สึกโดดเดี่ยวจากการถูกทิ้งในวัยเด็กดังที่เธอได้กล่าวไว้ “ฉันไม่เหมือนแม่ของฉัน เมื่อไหร่ที่ฉันมีลูก ฉันจะไม่ทอดทิ้งลูกของฉัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” และการเติบโตมาอย่างดีของ พิลกู วัย 8 ขวบคือเครื่องยืนยันคำพูดนี้ได้เป็นอย่างดี
ทงแบค ไม่เคยมีปัญหากับใคร แต่ถึงอย่างนั้นก็มักมีเรื่องเข้ามาเป็นพายุในชีวิตของเธอเสมอ ไม่ว่าเพื่อนบ้านที่ชอบหาเรื่อง การเกี่ยวพันกับคดีนักฆ่าตัวตลก การถูกกล่าวหาว่าเป็นโสเภณี การสูญเสียคนสำคัญไปอย่างไม่ได้เตรียมใจ หรือการต้องเผชิญหน้ากับ แม่ ที่เคยทอดทิ้งเธอไปอีกครั้ง
นอกจากการไม่ตัดสิน ความเป็นแม่ และหัวใจที่สู้ไม่ถอยต่อสิ่งที่สังคมรอบข้างยื่นให้แล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ฉายให้เห็นถึงสิ่งสำคัญในความสัมพันธ์ นั่นคือ การดูแลหัวใจกันและกันให้ดี อย่างที่ทงแบคกล่าวไว้ในตอนหนึ่ง “ดีจังนะที่มีใครสักคน…มาห่วงใยฉัน การดูแลกันและกันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์จริง ๆ”
- ติดตามชมได้ทาง Netflix
Reply 1988
เรื่องเล่าวัยเยาว์กับกาลเวลาที่ผ่านไป…และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ Reply 1988 อยู่ในดวงใจใครหลาย ๆ คนตลอดมา เสน่ห์อย่างหนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้คือฝีมือผู้กำกับ ชินวอนโฮ ที่หล่อเลี้ยงเรื่องราวให้คนดูรู้สึกผูกพันไปกับตัวละครทุกตัว
สำหรับ Reply 1988 เป็นเรื่องที่ให้ความรู้สึก Nostalgia ที่ดูแล้วชวนนึกถึงช่วงเวลาวัยเด็กเอามาก ๆ อย่างตัว ซีรีส์ เองก็มี ด็อกซอน นางเอกของเรื่องและสามี มาเล่าย้อนถึงเรื่องราวในวัยเยาว์ของเธอ และเพื่อน ๆ ชาวซังมุนดง ที่ผ่านช่วงเวลาสุข เศร้า เหงา ทุกข์มาด้วยกันตั้งแต่เด็ก มัธยม มหาวิทยาลัยจนถึงวัยที่ต้องแยกย้ายกันไปทำงาน
นอกจากการก้าวผ่านยุคสมัย และมิตรภาพของแก๊งเด็กในซอยที่เราตามลุ้น ตามเอาใจช่วยเหมือนโตไปด้วยกันกับพวกเขาแล้ว ความสัมพันธ์ที่เป็นมากกว่าเพื่อนบ้านของเหล่าพ่อแม่ และประเด็นครอบครัวที่แทรกซึมอยู่ในทุก ๆ ตอน ก็ชวนอบอุ่นหัวใจไม่น้อยไปกว่ากัน
นอกจากนั้นก็ยังมีหลาย ๆ มุมของครอบครัวให้ได้เห็น ทั้งปัญหาความกังวลใจของคนรุ่นพ่อแม่ ไม่ว่าจะเรื่องสุขภาพ อาการวัยทอง การเกษียณออกจากงาน เรื่องปากท้อง หรือแม้แต่ปัญหาของคนรุ่นลูกอย่างด็อกซอน (รับบทโดย ฮเยริ) กับการเป็นลูกคนกลาง หรือ ดงรยง (รับบทโดย อีดงฮวี) ตัวเรียกเสียงฮาของกลุ่มที่ลึก ๆ แล้วก็มีความเปลี่ยวเหงาและอยากมีช่วงเวลาได้อยู่กับแม่ซึ่งง่วนอยู่กับการทำงานตลอดเวลา เป็นต่างครอบครัว ต่างชีวิต ต่างเรื่องราวที่มาผสมรวมกันได้แบบพอดี ไม่แปลกใจเลยที่ Reply 1988 จะเป็นหนึ่งใน ซีรีส์ ที่จดจำของหลายคน
- ติดตามชมได้ทาง Netflix และ Viu
Hi, Bye Mama
เสียทิชชู่ซับน้ำตาไปหลายม้วน กับ Hi, Bye Mama เรื่องราวของ ชายูริ (รับบทโดย คิมแทฮี) คุณแม่ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แต่ยังคงเฝ้าวนเวียน คอยดูแล โจซออู (รับบทโดย ซออูจิน) ลูกสาวอยู่ไม่ห่างมาตลอด 5 ปีเพราะอยากเห็นลูกสาวเติบโต แต่แล้วเธอกลับเหมือนได้พรให้มีชีวิตในฐานะมนุษย์อีกครั้ง โดยมีเวลา 49 วัน กับเงื่อนไขว่าต้องกลับไปมีชีวิตอย่างที่เคยมีให้ได้อย่างสมบูรณ์ ความไม่ง่ายคือทุกคนที่ยังอยู่ก็ต่างเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยเฉพาะสามีอย่าง โชคังฮวา (รับบทโดย อีกยูฮยอง) ที่แต่งงานใหม่กับ โอมินจอง (รับบทโดย โกโบกยอล) หญิงสาวซึ่งรักครอบครัวและลูกของเธอไม่ต่างจากเธอ
นอกจากจะเป็น 49 วันที่ชายูริจะได้กลับมาดูแลลูกสาววัย 6 ขวบแล้ว การกลับมาครั้งนี้ยังเหมือนการกลับมาปลดล็อกเรื่องภายในใจของคนรอบตัวเธอด้วย แต่ในชีวิตจริง คงไม่มีใครที่จะมีโอกาสได้ย้อนมาสะสางเรื่องที่ค้างคาใจแบบชายูรี ซึ่งสิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้ส่งเสียงเตือนเอาไว้เสมอ โดยเฉพาะเรื่องการตระหนักถึงคุณค่าของเวลาและสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะไม่มีใครรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป “การเตรียมพร้อมรับมือกับการจากลา ในโลกนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก”
- ติดตามชมได้ทาง Netflix
Go Back Couple
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นไหม ?
เป็น ซีรีส์ ย้อนเวลาอีกเรื่องที่ชวนตั้งคำถามและย้อนมองถึงสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จากการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ชีวิตคู่ของ มาจินจู (รับบทโดย จางนารา) และ ชเวบันโด (รับบทโดย ซนโฮจุน) สามีภรรยาลูกหนึ่งที่แต่งงานกันมานาน จนสิ่งต่าง ๆ เริ่มจืดจาง เหนื่อยหน่ายและน่าเบื่อ ส่วนความไม่เข้าใจก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นจนนำมาสู่การหย่าร้างในที่สุด แต่แล้ววันหนึ่งทั้งคู่กลับตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาที่ย้อนกลับไป 18 ปี ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่รู้จักกัน ซึ่งการพยายามแก้ไขอดีตให้ไม่ต้องเจอกันอีกก็ทำให้เจอเรื่องราวระหว่างทางที่ทำให้ทั้งคู่ได้เห็นแง่มุมของอีกคนที่ต่างไปจากปัจจุบัน
และหนึ่งในสิ่งปาฏิหาริย์ของการย้อนเวลาคือ ทำให้นางเอกได้เจอกับแม่ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วอีกครั้ง มาจินจู จึงเกาะติดแม่ของเธอแจ จ้องแบบไม่วางตา พยายามอยู่ใกล้ชิดกับแม่ตลอดเวลาและทำสิ่งที่ไม่เคยทำด้วยกัน แต่การอยู่ในอดีตที่มีแม่ก็เท่ากับว่าเธอจะไม่ได้เจอหน้าลูกของเธอเองในปัจจุบัน เป็นโมเมนต์ของแม่และแม่สองช่วงวัย ที่ทำให้ชวนให้คนดูอย่างเรานึกถึงและเห็นความสำคัญของช่วงเวลาที่ได้อยู่กับแม่ขึ้นมาเหมือนกัน
- ติดตามชมได้ทาง Viu