
“ภัณฑารักษ์” ผู้ขับเคลื่อนบทสนทนาระหว่างศิลปะและสังคม
- รู้จัก “ภัณฑารักษ์” ผู้เป็นมากกว่าผู้คัดเลือกและจัดวาง แต่ยังเป็นผู้ร้อยเรียงแนวคิด คัดสรรบริบท และสร้างบทสนทนาระหว่างศิลปินกับผู้ชม
- บทบาทและอาชีพของภัณฑารักษ์เริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในอนาคตอันใกล้จะมีการเปิดพิพิธภัณฑ์เพิ่มขึ้นในประเทศไทย ดังนั้นความต้องการในอาชีพภัณฑารักษ์ก็มากขึ้นตามมาด้วย
เคยสงสัยไหมว่า ผลงานศิลปะที่จัดแสดงในแกลเลอรีหรือพิพิธภัณฑ์ ถูกคัดเลือกและจัดวางอย่างไรให้ส่งพลังและความหมายไปถึงผู้ชม? เบื้องหลังนิทรรศการที่น่าประทับใจ มีบุคคลสำคัญที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงศิลปะกับสังคม นั่นก็คือ “ภัณฑารักษ์” ผู้เป็นมากกว่าผู้คัดเลือกและจัดวาง แต่ยังเป็นผู้ร้อยเรียงแนวคิด คัดสรรบริบท และสร้างบทสนทนาระหว่างศิลปินกับผู้ชม
UOB Art Around จะพาคุณมารู้จักกับอาชีพ “ภัณฑารักษ์” ผ่านการพูดคุยกับ “พอใจ อัครธนกุล” ภัณฑารักษ์ผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลศิลปะร่วมสมัยบางกอกอาร์ตเบียนนาเล่ “กวินทรา วงศ์สวัสดิ์” ภัณฑารักษ์อิสระที่นำพื้นฐานด้านภาพยนตร์มาผสานกับการทำงานภัณฑารักษ์ และ “กฤติยา กาวีวงศ์” ผู้อำนวยการและหัวหน้าภัณฑารักษ์ประจำ Jim Thompson Art Center ที่ได้รับการยอมรับในเวทีศิลปะระดับโลก

พอใจ อัครธนกุล ภัณฑารักษ์ผู้อยู่เบื้องหลัง เทศกาลศิลปะร่วมสมัยบางกอกอาร์ตเบียนนาเล่ (Bangkok Art Biennale) มองว่าหน้าที่สำคัญที่สุดของภัณฑารักษ์ คือ การผลิตชุดข้อมูลองค์ความรู้ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับศิลปิน การสรรค์สร้างสิ่งที่ศิลปินอยากสื่อสารให้ออกมาเป็นรูปร่าง ซึ่งนั่นก็คือการผลิตชุดข้อมูลองค์ความรู้แบบหนึ่ง โดยเธอตั้งเป้าหมายในงานอาชีพตัวเองว่า ต้องการทำงานกับศิลปินไทยเพื่อที่จะพัฒนาให้วงการศิลปะไทยเติบโตกว่านี้ พร้อมกันนั้นยังเสริมว่าภัณฑารักษ์ยุคใหม่ อาจไม่จำกัดเฉพาะคนที่เรียนจบด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ แต่ภัณฑารักษ์จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย เพราะนั่นจะช่วยให้เกิดมุมมองต่อการจัดงานศิลปะที่กว้างขวางขึ้น

เส้นทางภัณฑารักษ์ของพอใจเริ่มต้นขึ้นหลังจบการศึกษาปริญญาตรี สาขาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอค้นพบว่าเธอรักที่จะเสพงานศิลปะมากกว่าเป็นคนสร้างงาน เธอจึงสนใจบทบาทหน้าที่ “ภัณฑารักษ์” และศึกษาต่อระดับปริญญาโทในสาขาเฉพาะทางด้าน “ภัณฑารักษ์งานศิลปะ” ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะกลับมาเริ่มต้นทำงานในวงการศิลปะที่ไทยด้วยตำแหน่งผู้ช่วยภัณฑารักษ์ และขยับมาสู่นิทรรศการศิลปะระดับชาติอย่าง Bangkok Art Biennale
แม้อาชีพภัณฑารักษ์ต้องประสานงานกับศิลปินและดูแลงานศิลปะที่หลากหลาย แต่งานศิลปะที่เธอสนใจเป็นพิเศษมี 3 แนวทางหลัก คือ การทำงานกับศิลปินรุ่นใหม่ งานของศิลปินผู้หญิงที่พูดถึงบทบาทความเข้มแข็ง และงานเชิงวิพากษ์สังคมการเมือง พร้อมกันนั้นเธอยังชี้ให้เห็นถึงการเติบโตของวงการศิลปะไทยที่เริ่มมีคนเข้าใจและรับรู้ถึงอาชีพภัณฑารักษ์มากขึ้นว่า “จากเดิมคนจะเข้าใจว่าในงานจะมีเพียงศิลปิน ตอนนี้ก็เริ่มมีคนเข้าใจแล้วว่าในนิเวศศิลปะมีตำแหน่งภัณฑารักษ์ด้วย”

กวินทรา วงศ์สวัสดิ์ ภัณฑารักษ์อิสระ ซึ่งพื้นที่ทำงานของเธอไม่ได้มีแค่แกลเลอรี หรือเทศกาลศิลปะ แต่ยังมีโอกาสได้เข้าไปเปลี่ยนพื้นที่โรงแรม ห้องพัก ร้านอาหารให้เป็นที่จัดแสดงงานศิลปะ ซึ่งเธอกล่าวว่านี่อาจจะเป็นข้อดีของภัณฑารักษ์ที่ไม่ได้จบด้านศิลปะโดยตรง ทำให้เธอมีมุมมองด้านศิลปะที่แตกต่างออกไป
“ศิลปะคือการบอกเล่าเรื่องราว เป็น Story Telling รูปแบบหนึ่ง ไม่ต่างจากภาพยนตร์ หน้าที่ภัณฑารักษ์คือการนำสิ่งที่ศิลปินต้องการสื่อสารมาบอกเล่าสู่ผู้ชม ภัณฑารักษ์จึงไม่ใช่แค่ผู้ประสานงานระหว่างศิลปินและแกลเลอรี แต่ต้องหาวิธีที่จะบอกเล่าเรื่องราวนั้นๆ ได้อย่างที่ควรจะเป็นในที่ที่เหมาะสม” กวินทรา ให้มุมมองต่ออาชีพภัณฑารักษ์ซึ่งเธอบอกว่านอกจากทักษะในการจัดการแล้ว อาชีพภัณฑารักษ์ยังทำให้เธอได้เรียนรู้ผู้คน ได้ตกผลึกมุมมองต่างๆ ของสังคมผ่านงานศิลปะ ซึ่งนี่คือเสน่ห์ที่ทำให้เธอหลงใหลในอาชีพนี้

กวินทรา จบปริญญาตรีด้านภาพยนตร์ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อกลับมาทำงานในไทยเธอเริ่มเข้าสู่วงการศิลปะจากการเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินที่มาร่วมงาน Hotel Art Fair ซึ่งมีการจัดแสดงงานศิลปะในพื้นที่โรงแรม ครั้งนั้นทำให้เธอได้มีโอกาสสัมผัสงานในฟากฝั่งศิลปะและแกลเลอรีอย่างเต็มตัว และทำให้เธอค้นพบว่าศาตร์ที่เธอสนใจอย่าง Story Telling ไม่ได้จำกัดแค่ภาพยนตร์ ทว่ายังสามารถนำมาปรับใช้กับการแสดงงานศิลปะได้เช่นกัน โดยเธอเปรียบเทียบงานนิทรรศการศิลปะหนึ่งงานเหมือนภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง พอภาพยนตร์เรื่องนี้ รสชาตินี้จบ ก็จะต้องเริ่มทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ พล็อตใหม่ รสชาติใหม่ อีกพื้นฐานสำคัญในงานภัณฑารักษ์ของกวินทรามาจากการได้เข้าไปทำงานในตำแหน่งศิลปินสัมพันธ์ (Artist Liaison) ที่ 333 Gallery ซึ่งตำแหน่งนี้แม้จะไม่ใช่ภัณฑารักษ์ แต่ก็ทำให้เธอได้เรียนรู้การทำงานเบื้องหลังในวงการศิลปะอย่างเข้มข้น
ที่ผ่านมากวินทราทำงานศิลปะในพื้นที่โรงแรมอย่างหลากหลายทั้งโรงแรมบูติค โรงแรมเล็กๆ ในต่างจังหวัด ไปจนถึงโปรเจ็กต์ Artist in Residence ในโรงแรมระดับ 5 ดาวอย่าง เดอะ เพนนินซูลา กรุงเทพฯ ซึ่งเธอเล่าว่าหลายคนอาจคิดว่าการทำงานศิลปะในโรงแรมคือการนำภาพไปประดับผนัง แต่จริงๆ แล้วการนำศิลปะไปใกล้ชิดกับผู้ชมในพื้นที่โรงแรมสามารถสร้างแรงกระเพื่อมและส่งสารได้มากกว่าการเป็นของตกแต่ง
กวินทราเล่าต่อถึงความสำคัญของอาชีพภัณฑารักษ์ต่อวงการศิลปะว่าไม่ใช่แค่จัดงานนิทรรศการ แต่ภัณฑารักษ์ยังมีส่วนผลักดันศิลปินหน้าใหม่ให้เติบโต เช่น Art Focus Bangkok ที่ให้โจทย์กวินทราในการมองหาผลงานของศิลปินรุ่นใหม่ ศิลปินหน้าใหม่มาจัดแสดง และนอกจากภัณฑารักษ์ต้องเฟ้นหางานดีๆ ของศิลปินที่อาจจะไม่ชำนาญในการพรีเซนต์มาจัดแสดงแล้ว กวินทรายังมองว่าภัณฑารักษ์นี่แหละที่จะเป็นผู้นำพาผลงานศิลปะมาจัดวางได้อย่างถูกที่ถูกทาง ทำให้เรื่องราวข้างหลังภาพถูกสื่อสารออกมา

กฤติยา กาวีวงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการและหัวหน้าภัณฑารักษ์ประจำ Jim Thompson Art Center และได้รับการยอมรับจากทั้งในและนอกประเทศให้เป็นทั้งภัณฑารักษ์เดี่ยวและภัณฑารักษ์ร่วมสำหรับนิทรรศการและเทศกาลศิลปะระดับโลก เช่น The 55th Oberhausen International Film Festival 2009 ที่ประเทศเยอรมนี The 12th Gwangju Biennale 2018 ที่ประเทศเกาหลีใต้ และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ล่าสุดเธอยังเป็นภัณฑารักษ์ชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัล Audrey Irmas Award for Curatorial Excellence 2025 จาก The Center for Curatorial Studies, Bard College แห่งนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ที่มอบให้กับภัณฑารักษ์ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่วงการศิลปะทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก
“มีคนสนใจอยากเป็นภัณฑารักษ์เยอะขึ้น อาชีพนี้ต้องเป็นนักแก้ปัญหา ต้องทำงานกับคนเยอะมากเรียกว่าประสานสิบทิศ และในการทำงานต้องคิดเผื่อไปถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง ต้องมีทักษะหลายด้าน ทำงานตามเดดไลน์ได้ และที่สำคัญภัณฑารักษ์ต้องพร้อมรับกับปัญหาต่างๆ หากมีมายเซ็ตแบบนี้ การทำงานภัณฑารักษ์จะสนุกมาก”
กล่าวได้ว่า กฤติยา คือหนึ่งในภัณฑารักษ์รุ่นบุกเบิกที่ปลุกกระแสพื้นที่ศิลปะทางเลือกในยุค 90s ด้วยการจัดตั้ง Project 304 ในปี 2539 ร่วมกับกลุ่มศิลปินหัวก้าวหน้าในยุคนั้น อาทิ มณเฑียร บุญมา, อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล, ชาติชาย ปุยเปีย, ไมเคิล เชาวนาศัย และกมล เผ่าสวัสดิ์ ด้วยการใช้ห้องพักเก่าของกฤติยา หมายเลข 304 ในอพาร์ตเมนต์ย่านสามเสนเป็นพื้นที่แสดงผลงานศิลปะที่ไม่มีข้อจำกัดในแนวคิดและเทคนิคจนเกิดแรงกระเพื่อมในวงการศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนมุมมองต่อสังคมในด้านต่างๆ

กฤติยากล่าวว่า ถ้าเปรียบกับวงออร์เคสตรา ภัณฑารักษ์ทำหน้าที่เป็นทั้งคอนดักเตอร์และโปรดิวเซอร์ เป็นตัวกลางระหว่างผลงาน ศิลปิน องค์กร และผู้ชม ดังนั้นภัณฑารักษ์ต้องมีข้อมูลในหัวเยอะมาก ไม่ใช่แค่เรื่องว่าศิลปินคนไหนเหมาะกับงานไหน แต่ต้องรอบรู้ประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ปัจจุบัน เท่าทันโลกและการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มผู้ชม ต้องทำรีเสิร์ช คิดคอนเซ็ปต์ ต้องทำงานให้ตอบสนองกับพื้นที่และช่วงเวลานั้นๆ สร้างไดอะล็อกของงานเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ต้องการสื่อสารกับคนดูและสังคมให้ได้ อีกทั้งต้องตระหนักว่าผลงานศิลปะและศิลปินต้องเด่นที่สุด ส่วนภัณฑารักษ์นั้นต้องก้าวถอยมาอยู่ข้างหลัง และสำคัญที่สุดคือต้องรักและเชื่อในพลังของศิลปะ
บทบาทและอาชีพของภัณฑารักษ์เริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในอนาคตอันใกล้จะมีการเปิดพิพิธภัณฑ์เพิ่มขึ้นในประเทศไทยรวมถึงการเกิดขึ้นของงานเทศกาลศิลปะแบบ Biennale อีกหลายโครงการ ดังนั้นตำแหน่งภัณฑารักษ์จึงเป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้นในวงการศิลปะประเทศไทย
Fact File
- อ่านคอนเทนต์ด้านศิลปะจาก UOB Art Around : https://www.uob.co.th/uobandart/uob-art-around.page
