Public House Hotel หมุดหมายที่อัดแน่นด้วยดีไซน์ ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และความครีเอทีฟ
Lite

Public House Hotel หมุดหมายที่อัดแน่นด้วยดีไซน์ ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และความครีเอทีฟ

Focus
  • Public House Hotel เป็นทั้งโรงแรม co-working space ร้านอาหาร และแหล่งแฮงเอาต์ที่จัดจ้านและจัดเต็มไปด้วยงานดีไซน์พร้อมฟังก์ชันที่ออกแบบมาแล้วว่าสามารถรองรับทุกไลฟ์สไตล์
  • หนึ่งในไลฟ์สไตล์ของ Public House คือศิลปะและความบันเทิง ซึ่งนอกจากผลงานของ Rafa Uriegas ศิลปินชาว เม็กซิกันและ Mook V ศิลปินชาวไทยแล้ว ที่นี่ยังมีแพลนจะหมุนเวียนจัดแสดงผลงานชิ้นอื่นๆ ในทุก 6 เดือนอีกด้วย

หลังจากผ่านการเว้นระยะห่างช่วงสถานการณ์โควิด 19 อันทำให้หลายกิจกรรมที่เราเคยทำร่วมกันหายไป ช่วงเวลานี้จึงเปรียบเสมือนการหวนกลับมาเชื่อมต่อกันใหม่ในวิถีและสถานที่อันเป็นสื่อกลางของการพบเจอ และตอนนี้ใจกลางสุขุมวิท 31 ก็มีจุดนัดพบแห่งใหม่ในชื่อ Public House Hotel ที่นี่เป็นทั้งโรงแรม co-working space ร้านอาหาร และแหล่งแฮงเอาต์ที่จัดจ้านและจัดเต็มไปด้วยงานดีไซน์พร้อมฟังก์ชันที่ออกแบบมาแล้วว่าสามารถรองรับทุกไลฟ์สไตล์

Public House Hotel
Public House Hotel
ฟิลิปป์ ลาสซอร์ (Mr. Philippe Lassaux)

Public House เริ่มต้นขึ้นมาหลังการล็อกดาวน์ครั้งที่ 2 ซึ่ง พอล สัจจเดว เจ้าของกิจการตั้งใจอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ปรับมู้ดและอยากให้สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนกรุงเทพฯ ที่มีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงและเปล่งประกายอยู่เสมอ นั่นทำให้ไอเดียแรกสุดของทีม interior design นำโดย ฟิลิปป์ ลาสซอร์ (Mr. Philippe Lassaux) เริ่มปรับเปลี่ยนพื้นที่โรงแรมเดิมด้วยการทำให้ทุกอย่างดูเปิดโล่งและกว้างขวาง นั่นเป็นเหตุผลที่เมื่อเวลาเข้าไปยังโซนต่างๆ ในชั้นล่างสุดจะดูเหมือนทุกอย่างเชื่อมต่อถึงกันทั้งหมดโดยไม่มีอะไรกั้น

ความน่าสนใจคือการที่ทำให้ทุกอย่างดูสะท้อนถึงกัน ทั้งการติดหน้าต่างกระจกบานใหญ่อยู่โดยรอบ ส่งให้คนที่อยู่ด้านในมองเห็นความเคลื่อนไหวทั้งชีวิตและการสัญจรของย่านกลางเมือง ขณะเดียวกันด้านนอกก็สามารถมองเห็นด้านในในระดับที่ยังคงความเป็นส่วนตัวอยู่

Public House Hotel
Open Bar
Public House Hotel
Forum

เรื่องของการเชื่อมต่อยังคงเป็นแก่นในการดีไซน์ที่แทรกซึมอยู่ในพื้นที่ โดยเฉพาะชั้นล่างสุดที่เปิดบริการก่อนส่วนอื่นของโรงแรม ซึ่งหากแบ่งแยกตามการใช้งาน ที่นี่มีทั้งส่วนของ ร้านอาหาร FEST ที่เสิร์ฟอาหารแบบ all day brunch ข้างกันเป็น Open Bar ที่พร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มหลากหลาย พร้อมกับส่วน co-working space ที่มาในชื่อ Forum ฟังแบบนี้อาจดูเหมือนแต่ละส่วนแยกขาดจากกัน แต่ไม่เลย Public House ให้อิสระแก่ผู้ใช้งานในการเลือกใช้พื้นที่ได้ตามสะดวกใจ เปรียบได้กับผ้าแคนวาสผืนใหญ่ที่ผู้มาเยือนสามารถวาดและลงสีได้ตามแบบฉบับของตัวเอง นั่นหมายความว่าหากเราอยากนั่งทำงานโดยมีจานสเต๊กวางอยู่ข้างๆ พร้อมค็อกเทลแก้วโปรดก็ย่อมได้ 

ด้วยการตกแต่งที่มีกลิ่นอายแบบ mid-century ที่นี่เลยโดดเด่นด้วยความเรียบง่ายของวัสดุที่ผสมผสานอยู่กับโทนสีของเฟอร์นิเจอร์ที่หลากหลาย แต่ยังคงคลาสสิก เช่นสี deep blue, deep red mahogany หรือ mango yellow โดยที่หากมองภาพรวมของทั้งชั้นจะดูเหมือนมาด้วยพาเลตสีเดียวกัน แม้ว่าแต่ละโซนจะให้น้ำหนักของแต่ละสีต่างกันออกไปบ้างก็ตาม

Public House Hotel

ด้านเฟอร์นิเจอร์ Public House ดีไซน์ใหม่เอี่ยมในสไตล์ของตัวเอง ทำขึ้นมาเองทั้งหมดถึง 72 ชิ้น เน้นไปที่การเล่นกับรูปทรงเรขาคณิตทั้งความโค้ง ความเหลี่ยม รวมถึงดีไซน์แพตเทิร์นที่นำมาเป็นจุดเชื่อมกันทั้งโรงแรม ไม่ว่าจะเป็น โคมไฟ โต๊ะ และผนังที่มีความเป็นเส้นตรงไปในทิศทางเดียวกัน

The Public House Hotel
The Podcast Lounge

ตลอดวันจะเห็นว่ามีผู้คนผลัดเปลี่ยนกันมาเติมเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะส่วน co-working space ที่ตอนนี้ค่อนข้างฮอต แต่หากใครไม่ถนัดจอยพื้นที่หรือต้องการความสงบแบบชั่วคราว ทาง Public House ก็มีห้องเล็กห้องลับให้สามารถมานั่งทำงาน ปลีกตัวไปคุยโทรศัพท์หรือประชุม zoom ในวันที่มีนัดกับเจ้านาย จุดนี้สะท้อนคอนเซปต์งานออกแบบพื้นที่ และความหมายของ Public House  ได้อย่างชัดเจนว่าตั้งใจออกแบบมาสำหรับรองรับทุกไลฟ์สไตล์ หากจะสังเกตให้ดีแค่ที่ชั้นวางของก็เต็มไปด้วยสิ่งของหลากหมวดมาก ทั้งหนังสือเก่า เครื่องดนตรี งานศิลปะ และของสะสมอย่างแบร์บริก และที่ไฮไลต์เลยคือ The Podcast Lounge ห้องอัดพอดแคสต์ที่ตอนนี้เปิดให้ใช้งานได้ฟรีแบบ any podcast any time (แต่ต้องจองมาก่อนนะ)

ท่ามกลางบรรยากาศทั้งหมด อีกไลฟ์สไตล์หนึ่งของ Public House คือศิลปะและความบันเทิง ซึ่งหากเดินเข้าไปจากประตูด้านหน้าทุกคนจะต้องเตะตากับงานเพนติงสีสดที่เปรียบเสมือนการเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งโดย Rafa Uriegas ศิลปินชาวเม็กซิกันที่บินตรงมาสร้างสรรค์ในระยะเวลาเพียง 1 เดือน และอีก 1 ใน 12 ศิลปินที่ฟิลิปป์ยกให้เป็นชิ้นงานไฮไลต์คือศิลปะสิ่งทอโดยศิลปินไทย MookV หรือ มุก-เพลินจันทร์ วิญญรัตน์ ที่คราวนี้เธอมาพร้อมผลงานที่มีความทรอปิคอลและโทนสีพาสเทลดูแปลกตา โดยสองชิ้นที่กล่าวมาจะเป็นการติดตั้งแบบถาวร และสำหรับชิ้นอื่นๆ คาดว่าจะมีการหมุนเวียนในทุกๆ 6 เดือน

สำหรับห้องอาหาร Fest. ที่เป็นครัวแบบเปิดโล่ง อันที่จริงจัดอยู่ในส่วนหน้าสุด ทำให้มีสเปซที่นั่งทั้งแบบอินดอร์และเอาต์ดอร์ เน้นเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มแนวคอมฟอร์ตฟูด และที่เรายกให้เป็นซิกเนเจอร์ของห้องนี้คือความ smoky เพราะที่นี่เลือกใช้เตา Josper Grill ซึ่งเป็นเหมือนมาสเตอร์พีซของวงการเตาปิ้งย่างมาใช้ในการย่างวัตถุดิบประเภทเนื้อ ปลา และผัก ส่วนขนมปังและพิซซายกให้เป็นหน้าที่ของเตาถ่าน แต่หากใครเลือกไม่ถูกอยากมองหาเมนูแนะนำ ให้สังเกตที่ Public Treasure เลย เขาเล่นคำอย่างน่ารักว่าเป็นเหมือนขุมทรัพย์ของที่นี่ เช่น Josper-Grilled Flat-Iron Steak สเต๊กเนื้อย่างเนยเห็ดกระเทียมที่เสิร์ฟมาพร้อมกับหอมตุ๋นไวน์แดง พริกย่าง และเฟรนช์ฟรายส์ ส่วนสายวีแกนก็มีให้เลือกด้วยกันหลายเมนู พิซซาก็สามารถสั่งหน้าวีแกนได้ ด้านเครื่องดื่มมีทั้งจากฝั่ง Open Bar ชา กาแฟ น้ำผลไม้สกัด หรือไลน์ชาหมักคอมบูชาก็สดชื่นมาก ช่วงสุดสัปดาห์ทุกคืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เขามีวงแจซและ DJ Station ด้วยนะ มานั่งทำงานแล้วชิลต่อได้เลย

Fact File 

  • The Public House Hotel ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 31 เปิดทำการเวลา 07.30-22.00 น.
  • รายละเอียดเพิ่มเติม : linktr.ee/publichousehotel

Author

สุกฤตา โชติรัตน์
มนุษย์ผู้ค้นพบพลังงานพิเศษจากประโยคในหนังสือ อาหารจานโปรดและเพลงที่ฟัง อยากเลี้ยงแมวและตั้งใจว่าจะออกไปมองท้องฟ้าบ่อยๆ

Photographer

วิจิตต์ แซ่เฮ้ง
เป็นคนกรุงเทพฯ เกิดที่ฝั่งธนฯ เรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย ต่อระดับปริญญาตรีสาขาเทคโนโลยีทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มศว ประสานมิตร เมื่อเรียนจบใหม่ ๆ ทำงานเป็นผู้ช่วยดีเจคลื่นกรีนเวฟพักหนึ่ง ก่อนมาเป็นนักเขียนและช่างภาพที่กองบรรณาธิการนิตยสาร ผู้หญิงวันนี้ จากนั้นย้ายมาเป็นช่างภาพสำนักพิมพ์สารคดีปี 2539 โดยถ่ายภาพในหนังสือชุด “เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน” ต่อมาถ่ายภาพลงนิตยสาร สารคดี มีผลงานเช่นเรื่อง หมอเทีย ปอเนาะ เป่าแก้ว กะหล่ำปลี โรคหัวใจ โทรเลข ยางพารา ฯลฯ